Books Review - Good Books change life

PlAwAnSaI

Administrator
  • www.se-ed.com/product-bestseller/หนังสือขายดีราย-7-วันล่าสุด.aspx?bid=2
สารบัญ:
cool.gif
 

PlAwAnSaI

Administrator
Health - สิ่งดีๆ มีมาฝาก

  • 4 อาหารบำรุงสมอง
    www.postsod.com/brain-food
  • 7 อาหารบำรุงสมอง
    blog.janthai.com/อาหารบำรุงสมอง-3507.html
  • 10 Technique เคล็ดลับ เตรียมรถให้พร้อมเที่ยว
    travel.mthai.com/travel_tips/5469.html
  • ขี้เซาก็ต้องระวัง นี่ล่ะผลเสียแย่ ๆ ถ้านอนมากเกิน
    health.kapook.com/view113548.html
Cr: AIT HR

  • โรคไวรัสอีโบลา:
    www.youtube.com/watch?v=H81HSc946Xw&list=PLazAaevUb5cic6xhgOjTYUyOwQHl-Xfw-
  • คิดว่าตัวเองมีอวัยวะผิดปกติ:
    www.youtube.com/watch?v=VqLxxREP_II&list=PLazAaevUb5ciJJrvSgmo4yaZTnQryXlOv
  • การออกกำลังกายแบบ T25:
    www.youtube.com/watch?v=zAbru1j6iyE&list=PLazAaevUb5ciWp3zSMzhowxx29yfADs7h
  • โรคพิษสุนัขบ้า:
    www.youtube.com/watch?v=kmZE4kfB9Lc&list=PLazAaevUb5cg6yXOGS3eLwsByirmNpF9F
  • ภาวะเท้าแบน:
    www.youtube.com/watch?v=l1qXUpDs_zg&list=PLazAaevUb5cgft4F7Vc2azRqsPnP_mjEI
  • ความเครียด:
    www.youtube.com/watch?v=5f8_0Jz3tn0&list=PLazAaevUb5cjCK8gnq7LnX84IUFunczxI
  • ภาวะข้อเท้าแพลง:
    www.youtube.com/watch?v=40lYIchN7Hs&list=PLazAaevUb5chicFJrbQCE4TT58rTlEp5m
  • ภาวะนิ้วหัวแม่โป้งเท้าเอียง:
    www.youtube.com/watch?v=5Bimy209VTE&list=PLazAaevUb5cgDkBMcBosiahK_ZxNK9JBq
cool.gif
 

PlAwAnSaI

Administrator
Business - ยกเครื่องความคิด Rework

  • โลกแห่งความจริงไม่ใช่สถานที่ มันเป็นข้อแก้ตัวต่างหาก คนเรามักใช้มันเป็นข้ออ้างเพื่อจะได้ไม่ต้องลงมือพยายาม โลกที่ว่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคุณเลย
  • การวิวัฒนาการไม่ได้มีพื้นฐานมากจากความล้มเหลวในอดีต แต่พัฒนาขึ้นจากสิ่งที่ได้ผลดีอยู่แล้วต่างหาก
  • การทำให้ความฝันเป็นจริง คือ ความรับผิดชอบของคุณเองล้วนๆ อย่าบอกว่าไม่มีเวลา หรือยังไม่ถึงเวลา เพราะจังหวะเวลาที่เหมาะสมมันเป็นสิ่งที่ไม่มีวันมาถึงอีกด้วย
  • ธุรกิจที่ยังไม่มีเส้นทางทำกำไรไม่ใช่ธุรกิจ มันเป็นแค่งานอดิเรก
  • การทำธุรกิจ = ความเชื่อ + ความสนุก + เงิน
  • ก่อนที่จะบ่นว่า "ไม่พอ" ลองพยายามคิดดูก่อนว่าคุณทำอะไรได้มากแค่ไหนจากสิ่งที่คุณมีอยู่
  • เมื่อคุณเริ่มต้นสิ่งใหม่ คุณจะมีทั้งสิ่งที่คุณ "ทำได้" "อยากทำ" "ต้องทำ" ซึ่งเราต้องเริ่มสิ่งที่เราต้องทำก่อน คือ การเริ่มต้นที่จุดศูนย์กลาง
  • การตัดสินใจ คือ การเดินไปข้างหน้า
  • แก่นของธุรกิจควรจะผูกอยู่กับสิ่งที่จะไม่เปลี่ยนแปลง อะไรก็ตามที่ผู้คนต้องการในวันนี้ และยังต้องการในอีกสิบปีข้างหน้า นั่นแหละคือ สิ่งที่คุณควรจะลงทุน
  • ถ้าคุณอยากให้เกิดแรงเหวี่ยงและแรงจูงใจอยู่เสมอลองหาชัยชนะย่อยๆ ไปตลอดการเดินทาง เพราะถ้างานที่คุณทำอยู่ไม่มีแรงเหวี่ยงไปข้างหน้า มันคงไม่ใช่เรื่องดีนัก
  • คนเรามักตื่นเต้นเมื่อเห็นความขัดแย้ง พวกเขาจะเลือกข้าง ทำให้เกิดอารมณ์ร่วมไปกับสินค้า และนั่นคือวิธีที่จะทำให้ลูกค้าสังเกตเห็นคุณได้ในทันที
  • เมื่อคุณสอน คุณจะทำให้ลูกค้ารู้สึกผูกพันกับคุณอย่างที่กลยุทธ์การตลาดเก่าๆ ไม่สามารถทำได้
  • ถ้าคุณต้องการให้ใครสักคนหันมาสนใจ การดึงความสนใจของเขา โดยทำในสิ่งที่เหมือนกับคนอื่นๆ คงไม่ใช่วิธีที่ฉลาดนัก
  • วัฒนธรรมคือผลพลอยได้ของพฤติกรรมที่ทำมานาน
  • เมื่อคุณต้องเขียน อย่าคิดถึงคนทุกคนที่จะต้องอ่านข้อความของคุณ คิดถึงใครคนใดคนหนึ่งแล้วลงมือเขียนเพื่อคนคนนั้น การเขียนถึงคนกลุ่มใหญ่จะทำให้คำที่คุณเลือกใช้ ฟังดูเย็นชาไร้ความรู้สึกและไม่เป็นธรรมชาติ
  • ดันทุรัง : เมื่อคุณเหนื่อยล้ามากๆ คุณมักจะทำสิ่งต่างๆ ด้วยวิธีเดิมๆ ถึงแม้มันจะไม่ใช่วิธีที่ดีก็ตาม
  • ขาดความคิดสร้างสรรค์ : ความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งแรกที่จะขาดหายไปเมื่อคุณอดนอน
  • หมดกำลังใจ : เมื่อสมองของคุณทำงานไม่รวดเร็วฉับไว คุณจะหันไปหาอะไรที่ต้องใช้สมองน้อยกว่า เช่น เปิด Facebook อ่านเรื่องชาวบ้านนั่นเอง
  • ขี้หงุดหงิด : ความอดทน จะลดลงฮวบ เมื่อคุณอ่อนล้า
  • แรงบันดาลใจเป็นสิ่งมหัศจรรย์ เป็นสิ่งที่ทำให้คุณสร้างผลงานได้รวดเร็วขึ้นมาก และเป็นแรงกระตุ้นชั้นเยี่ยม แต่มันจะไม่รอคุณอยู่นานนัก รีบคว้ามันเอาไว้ จับให้แน่น แล้วนำมาใช้งานทันที
Cr: iYom
 

PlAwAnSaI

Administrator
Investment - หยง เกิดมาเทรด

  • แนวคิด จิตวิทยาในการลงทุน
    • เวลาตลาดเปิด / ปิด
      TOCOM เช้า เปิด 7.00-11.00 น., บ่าย เปิด 13.00
      ฮั่งเส็งฟิวเจอร์ เช้า เปิด 8.00-11.30 น., บ่าย เปิด 13.30
      AFET เช้า 10.00-15.45 น.
      SET เช้า 10.00-12.30 น., บ่าย เปิด 14.30-17.00 น.
      TFEX เช้า 9.45-12.30 น., บ่าย เปิด 14.30-16.45 น.
      (มีใครรู้รายละเอียดเพิ่มเติมหรือผิดถูกอะไรก็แจ้งได้นะคับ)
    • ทุกครั้งที่ซื้อหรือขายต้องประเมินว่า นี่คือ โอกาสที่เสี่ยงต่ำสุด ไม่ใช่จุดที่ทำกำไรมากสุด
    • เราจะบริหารความโลภอย่างไร? การแยกเงินออกจากตัวเองบริหารอยู่ใน Port นั่นเอง
    • การลงทุนมีคุณสมบัติสองข้อ
      1. เงินลงทุนจะต้องเพิ่มมูลค่า ตลอดๆ (ทุนโต)
      2. จะต้องสร้างกระแสเงินสดให้เราได้อย่างต่อเนื่อง โดยเราอาจได้รับปันผลหรือแบ่งขายทำกำไรออกมาเป็นส่วนๆ
    • หัวใจของการสร้างความมั่งคั่งนั้น ไม่ใช่การหาเงินก้อนใหญ่สุดๆ แต่คุณต้องสร้างสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสดให้มันโตที่สุด
    • ถามตัวเองว่าสิ่งที่ทำอยู่นี้ จะทำให้ใกล้เป้าหมายมากขึ้นหรือไกลออกไป เราต้องโฟกัสเฉพาะเรื่องที่ทำให้เราถึงเป้าหมายเท่านั้น แม้กระทั่งสุดท้ายแล้วไปไม่ถึง เราก็ยังสามารถมองกลับมาเป็นประสบการณ์ได้
    • คำว่า "หน้าที่" มันต่างจากคำว่างานหรือ job เพราะถ้าเป็นงาน คุณอาจจะไม่อยากทำก็ได้ แต่สำหรับหน้าที่ มันคือ "ความผูกพัน"
    • วิธีการที่จะวางผังพอร์ตให้กับสินค้าฟิวเจอร์ ซึ่งมีขนาดไม่เท่ากัน ให้สมดุลนั้น อย่าไปดูที่มูลค่าหรือจำนวนสัญญา ดูที่เงินตัวเองว่าเทรดได้เท่าไหร่ เอาเงินเราเป็นที่ตั้ง
    • วิธีการหนึ่งที่จะทำให้เราค้นพบตัวเองได้เร็วที่สุด คือ การเขียนบันทึกหรือไดอารี่เกี่ยวกับการเทรดในแต่ละวัน (Trade log)
  • การวิเคราะห์ทาง Technique (Technical Analysis)
    • ในขาลงถ้าเรายังไม่เห็นจุดต่ำสุดของรอบ นั่นแปลว่ายังไม่ควรซื้อ ส่วนในขาขึ้นถ้าการขึ้นของราคายังไม่ใช่จุดสูงสุดของรอบ การเข้า Short (ขาย) จะอันตรายมาก
    • ธรรมชาติของหุ้นจะมาเป็นรอบๆ สามแบบ คือ Uptrend (หุ้นในช่วงขาขึ้น), Downtrend (หุ้นในช่วงขาลง) และ Sideways (เป็นช่วงที่กราฟหุ้นวิ่งออกข้าง เคลื่อนไหวไม่ชัดเจนว่าราคาจะขึ้นหรือจะลง) รอบขาขึ้น ขึ้นแล้วทำ Higher low (HL: จุดต่ำสุดใหม่ สูงขึ้นกว่าจุดต่ำสุดเดิม) สูงขึ้น นั่นแปลว่าจะขึ้นต่อ รอบขาลง คือ การลงมาสร้างฐานต่ำลงเรื่อยๆ
    • การดูจะเริ่มจาก Momentum แล้วก็มาดู Trend แล้วถึงมาดู Price แต่การสอนจะตรงกันข้าม Price > Trend > Momentum
    • ไส้เทียนที่เป็นไส้ยาวๆ ข้างล่าง แปลว่า มันมีการเทขายหุ้นออกมา แต่ด้วยเหตุผลบางประการนักลงทุนอาจมองว่า ราคาที่ขายลงมาถูกมาก จึงต้องไล่ซื้อกลับ
    • หุ้นนั้นใช้ Technique วิเคราะห์ก็ดี แต่ต้องมีปัจจัยพื้นฐานมาเสริมด้วย
    • Price
      • บอกทิศทางการขึ้น/ลง
      • Price Pattern "ดูว่ามันเดินอย่างไร"
        • จะมีการเหวี่ยงตัว, บีบตัว ของราคา ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง และสิ้นสุดด้วยการ Breakout
        • จะ Break ขึ้นหรือลง ให้ดู Trend ในช่วงที่ผ่านมา
        • ดูจากแนวรับ/แนวต้าน ถึงแนวไหนมันจะเกิดการฟอร์มตัวอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วจึงเกิด Price Pattern และ Breakout
        • เดินตามในจุดที่ชัด อย่าเก็งว่ามันจะขึ้นหรือลง เราต้องรู้พฤติกรรมที่ทำให้เกิด Pattern นั้น
    • Trend
      • บอกทิศทาง
      • แนวรับ-แนวต้าน
      • เกิดจากการเอา Price มาคำนวณ
    • Momentum
      • บอกกำลังของ Trend (ต้น, กลาง, ปลาย)
      • เกิดจากส่วนต่างของ Price
  • Money Management
    • ถ้าเราเริ่มต้นเทรดที่ 80% ของพอร์ต ครั้งต่อไปก็ต้องเทรดที่ 80% เท่าเดิม ไม่ต่ำกว่านี้ และเมื่อพอร์ตมีขนาดใหญ่ขึ้น ก็จะต้องไม่เทรดลดลงมาเช่นกัน
    • โครงสร้างการเงินจะต้องมีสามส่วน (รวย + มั่งคั่ง + มั่นคง)
      1. ลงทุนเน้นการเก็งกำไร : เงินมันจะโตเร็ว
      2. ลงทุนเน้นสร้างกระแสเงินสด : ใช้เพื่อเลี้ยงเราในอนาคต โดยที่มันต้องมากกว่าค่าใช้จ่ายประจำของเรา และเป็นจุดสร้างความมั่งคั่ง
      3. เงินออม : เพื่อใช้เป็นฐานของชีวิต เผื่อกรณีฉุกเฉิน โดยแบ่งมาจากข้อ 1 และ 2 นั่นเอง
    • มีเงินมากเท่าไหร่ มันไม่ใช่คำตอบ จริงๆ แล้ว จะต้องมีกระแสเงินสดเข้ามามากกว่าค่าใช้จ่ายต่างหาก
    • เทรดเดอร์ ที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น ไม่ใช่มีเทคนิคการเทรดขั้นเทพ แต่เป็นคนบริหารพอร์ตได้ดีเยี่ยมต่างหาก
    • องค์ประกอบสามอย่างที่เทรดเดอร์ควรต้องมี คือ จิตวิทยา + การบริหารเงิน + Technical
    • เมื่อเราบริหารพอร์ตได้อย่างมีประสิทธิภาพ พอร์ตไม่ควรสวิงขึ้นลงมากกว่า 10%
    • "Don't let it get expensive" ชีวิตเราถือว่าเป็นสิ่งที่ราคาแพงที่สุดแล้ว ถ้าเราทำอะไรถึงเป้าหมายแล้วยังไม่เลิก มันก็เหมือนกับการผูกมัดทางใจ เหมือนกับสร้างห้องกักขังทางใจไว้กับความฝันที่วาดไว้ เราจะ "Move on" ไม่ได้
    • "ความศรัทธาของคนเราเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะตอนที่ทุกอย่างราบรื่น ไม่ว่าอะไรคุณก็จะไม่บ่น แต่พอเจอปัญหาที่แทบไม่เห็นทางออก ตอนนั้นมันต้องอาศัย ศรัทธา ความเชื่อ ความรักในสิ่งที่ทำ ซึ่งจะนำพาเราก้าวผ่านอุปสรรคไปได้"
Cr: iYom
 

PlAwAnSaI

Administrator
Investment - เล่นหุ้นเป็นระบบ คุณก็รวยได้

http://www.cwayinvestment.com

  • บทนำ (Introduction)
    • การจับจังหวะการเข้าซื้อหรือขายหุ้นไม่จำเป็นต้องถูกต้อง 100% แต่สิ่งที่ต้องตระหนัก คือ เมื่อผิดพลาดผิดทาง ต้องรู้จักยอมรับและหยุดการขาดทุนทันที
    • แม้เป็นการลงทุนระยะยาว (หรือ VI) การจับจังหวะก็มีความจำเป็น เพราะการที่เรามีเงินลงทุนน้อย ไม่สามารถหว่านซื้อหุ้นได้มากมาย ดังนั้น การซื้อหุ้นในราคาที่ถูกได้นั้น หมายถึงการใช้เงินอย่างรู้คุณค่า
    • Body ของแท่งเทียนยิ่งยาวยิ่งแสดงถึงการ Bullish มากๆ
    • DOJI คือ ช่วงที่ราคาเปิดและราคาปิดมีค่าเท่ากันหรือใกล้เคียงกันมาก
  • การวิเคราะห์แนวโน้ม (Trend Analysis)
    • อย่าพยายามจินตนาการ (คาดหวังว่าราคาหุ้นจะเป็นงี้ เป็นงั้น) เพราะราคาหุ้นไม่เคยหลอกเรา แต่สิ่งที่กำลังหลอกเราคือ จิตใจของเราเอง
    • พูดถึงราคา ต้องรู้แนวโน้มก่อน
    • รู้แนวโน้มต้องดูขนาดของ Time Frame (TF) ด้วย
    • แนวรับ / แนวต้าน
      • ใช้ Fibonacci
        • ขาลง ลากบนลงล่าง
        • ขาขึ้น ลากล่างขึ้นบน
      • ใช้ EMA
      • ใช้ จุดสูงสุด/ต่ำสุด ก่อนหน้า
    • GAP: Breakaway Gap
    • เรขาคณิต
      • สามเหลี่ยมยกตัว
      • สามเหลี่ยมยุบตัว
  • ดัชนีราคา (Price Indicator)
    • ดัชนีราคา ใช้ค่าราคา ณ ช่วงเวลาต่างๆ มาคำนวณ ดังนั้น เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว การย้อนกลับมาดูดัชนีราคาจึงสมเหตุ สมผล
    • การใช้ดัชนีราคาแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือ
      1. กลุ่มของ Trend : ราคาหุ้นมีแนวโน้มชัดเจน เช่น EMA, MACD, Bollinger Band และ Band Indicator
      2. กลุ่มของ Oscillator : วัดความแกว่งของราคา เพื่อระบุสัญญาซื้อขายในช่วงราคาแกว่งตัวในกรอบ มีทั้ง RSI, STO และ ADX (DMI)
    • กรณีแท่งเทียนลอยสูงกว่า EMA เส้นสั้นมากจะแสดงถึงแรงซื้อที่มาก ราคามีการปรับตัวขึ้นสูงเข้าข่าย Overbought
    • ดัชนีราคา
      • มีแนวโน้มชัดเจน
        • EMA
          • EMA (5, 10, 20, 50, 75)
          • ถ้าลอยสูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ยมาก Over Bought
        • Bollinger Band
          • พิจารณาร่วมกับดัชนีราคาตัวอื่น เพราะตัวมันเองไม่ได้มีลักษณะบอกสัญญาซื้อขาย
          • ใช้ร่วมกับ MACD, RSI และ STO
        • MACD
          • ลักษณะ macd > sig, macd > 0: ขึ้นชัด (ซื้อ), macd < 0: ขึ้นระยะสั้น
          • ลักษณะ macd < sig, macd > 0: ลงระยะชัด, macd < 0: ลงชัด (ขาย)
      • Oscillator (วัดความแกว่งของราคาที่แกว่งตัวในกรอบแคบ เพื่อระบุสัญญาซื้อขาย)
        • RSI
          • over bought/sold ใช้ดูความอิ่มตัวของแนวโน้ม
          • cross over กำหนดสัญญาซื้อขาย ดูคู่กับ EMA
            (14, 9) * Buy (EMA < RSI) * Sell (EMA > RSI)
          • divergent มีนับเมื่ออยู่ในโซน over bought/sold
        • STO
          • over bought/sold ใช้ดูความอิ่มตัวของแนวโน้ม
          • cross over กำหนดสัญญาซื้อขาย
            * Buy (%K > %D) * Sell (%K < %D)
          • divergent มีนับเมื่ออยู่ในโซน over bought/sold
        • ADX or DMI
          • ADX > 20, +slope : แนวโน้มขาขึ้นชัดเจน
            ADX < 20, slope ใกล้ศูนย์ : sideways
          • cross over
            * Buy (DI+ > DI-) * Sell (DI+ < DI-)
          • วัดกำลังและความแข็งแกร่งของแนวโน้ม
    • Multiple TF
      • TF ใหญ่ Sideways : ดู TF เล็ก ว่ามีแนวโน้มชัดเจน (ปริมาณสนับสนุน)
      • TF เล็ก Sideways : ไม่แน่นอนสูงอย่าพึ่งทำการอันใด
      • ดูหุ้น 2 TF : ดูแนวโน้มร่วมกับแนวรับ แนวต้านบนสองกรอบเวลา / ไม่เหมาะใช้ indicator พิจารณาร่วมกัน
  • การวิเคราะห์ปริมาณซื้อขาย (Volume Analysis)
    • มีดัชนีเชิงปริมาณสองตัว (Volume Indicators) คือ
      1. OBV (On Balance Volume) : ใช้วัดการแกว่งตัว
      2. VAD (Variable Accumulation Distribution) : ใช้วัดการแกว่งตัว
    • การติดตามกระแสเงินต่างชาติ ควรพิจารณารูปแบบความต่อเนื่องของแรงซื้อ และติดตามดูยอดซื้อขายสะสมมากกว่า
    • แนวคิด
      • บ่งบอกคุณภาพของแนวโน้ม
      • ทิศทางราคาขัดแย้งกับทิศทางของ VOL จุดกลับตัวแนวโน้มราคาหุ้น
    • ดัชนีเชิงปริมาณ (Volume Indicators)
      • OBV : On Balance Volume
        • ราคาขึ้น > OBV ขึ้น > VOL มาก > แนวโน้มชดเชย
        • แนวโน้ม สูงสุดของราคา > สูงสุดของ OBV
        • Divergence ราคาขึ้น > OBV เริ่มลดตัวลง แรงซื้อเริ่มลด
        • EMA ใน OBV > บอกถึง ปริมาณเพิ่มขึ้นของปริมาณสะสม เพื่อยืนยันสัญญาณซื้อและขาด ในระบบอื่นๆ (RSI, MACD) หากราคา sideways และ OBV เพิ่มสะท้อนถึงการสะสมหุ้น เพื่อก่อตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้น
      • VAD : Variable Accumulation Distribution
        • VAD > 0 : ขึ้น, VAD < 0 : ลง
        • แนวโน้ม VAD มีทิศทางเดียวกับราคา ทิศทางชัดเจนแน่นอน
  • ระบบเทรด (Trading System)

    แบ่งออกเป็น 3 ส่วน หลัก คือ
    1. Trade Algorithm : การวิเคราะห์เชิงเทคนิค ที่จะนำมาสร้างเป็นเงื่อนไขการเข้าหรือออก (Entry & Exit) ในการเทรดหุ้น ประกอบด้วย
      1. Trend Following : ขี่ตามแนวโน้ม
      2. Zoning System : จับจังหวะทยอยซื้อหุ้นปันผล
      3. Breakout System
      4. Swing Trading : ซิ่งไปตามแนวโน้มย่อย
      5. Volatility System : เต้นไปตามความผันผวน
    2. Money Management : บริหารจัดการเงินของเรา ให้อยู่ในความเสี่ยงที่จำกัด ประกอบไปด้วย
      1. Money Management System : กำหนดขนาดเงินลงทุน
      2. Risk Reward Ratio : สัดส่วนเกราะทองคำ เพื่อวางแผนการลงทุน
      3. Expectancy
      4. Cut Loss
        การ Cut Loss เป็นสิ่งที่ใครๆ ก็รู้ แต่ที่ทำไม่สำเร็จก็เพราะไม่ได้วางแผนเตรียมรับมือมาก่อน
      5. Trilling Stop : ป้องกันการขาดทุน หรือ การหยุดการขาดทุนกำไร
      6. Port Folio Analysis
      7. ป้องกันความเสี่ยงด้วย TFEX
      ประเด็นอื่นๆ
      การทำ Money Management เป้าหมายคือ การจำกัดผลกระทบต่อการขาดทุนต่อเนื่อง
    3. Trading Psychology : ใจและวินัยในการยึดมั่นต่อระบบที่เราพัฒนา
      • สิ่งสำคัญในการเก็งกำไร อาจไม่ใช่ที่ราคาถูกหรือแพงเพียงอย่างเดียว แต่แนวโน้มความต่อเนื่องของราคาในขณะนั้นมีความสำคัญยิ่งกว่า
      • ควรจะมีเป้าหมายผลตอบแทน ทั้งระยะสั้น (ไตรมาส) ระยะยาว (ปี) เป้าหมายนั้นจะใช้ เพื่อวางกลยุทธ์บริหารการลงทุน และใช้เปรียบเทียบผลการลงทุนกับผลตอบแทนโดยรวมของตลาดหุ้นด้วย
      • หุ้นทุกตัว มีรอบที่จะเข้าไปทำกำไร จะต้องจับจังหวะให้ถูก เพื่อสามารถเก็งกำไรรายรอบตามทิศทางของ Fund Flow
      • อย่าพยายามมองเงิน ที่ได้หรือเสียจากการลงทุน เป็นมูลค่าที่เทียบกับสิ่งของ สินค้า ที่เราต้องการในโลกจริง เพราะมันจะทำให้จิตเราอ่อนแอได้ง่ายๆ
      • การเทรดในหนึ่งครั้งจะแพ้หรือชนะ ก็เป็นส่วนหนึ่งในความน่าจะเป็น ไม่มีนัยอะไรให้เราต้องดีใจหรือเสียใจ เพราะถ้าเราคิดใช้ระบบเทรดในการลงทุน ต้องมองภาพรวมในระยะยาว
      • "ความกลัว" รู้จักมัน ด้วยระบบการลงทุน และการบริหารจัดการเงินทุน การตั้งการจำกัดการขาดทุน จะทำให้แปลงสภาพของความกลัวจากนามธรรม (ประมาณว่า หลอน วิตกจริตไปเรื่อย) ให้เป็นรูปธรรมในเชิงตัวเลขที่จับต้องได้ ซึ่งจะช่วยรับมือกับความกลัวนั้นได้
      • "ความโลภ" รู้จักมัน ด้วยการวางแผนการลงทุน จะได้รู้ผลตอบแทนที่ได้ตั้งไว้ ซึ่งความพอใจจะเข้าไปสกัด ความโลภ หรือไม่คือ พอได้อย่างเป้าที่ตั้งไว้ ที่เหลือก็คือ ความโลภล้วนๆ
      • เคล็ดลับการเล่นหุ้นอยู่ที่ใจ
      • ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ข่าวหรือเหตุการณ์จะออกมาอย่างไร แต่นัยอยู่ที่นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากตอบสนองต่อข่าวและเหตุการณ์อย่างไรมากกว่า
      • การตัดสินใจของเราเป็นของเรา จริงๆ หรือ? - Are we in control of our own decisions?
        http://www.ted.com/talks/dan_ariely_asks_are_we_in_control_of_our_own_decisions
Cr: iYom
 

PlAwAnSaI

Administrator
Investment - ตีแตก : กลยุทธ์การเล่นหุ้นในภาวะวิกฤต

  • ในภาวะที่เศรษฐกิจเลวร้าย บริษัทที่ขายสินค้าในประเทศเป็นหลัก โอกาสที่จะทำกำไรสูงนั้นยากมาก ส่วนใหญ่แค่ประคองตัวให้รอดพ้นวิกฤต ก็ถือว่าดีแล้ว จะมีก็แต่ธุรกิจส่งออกเท่านั้นที่จะทำกำไรและมีเงินสดเหลือมากได้

    การลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์สำหรับนักลงทุนส่วนบุคคลโดยทั่วไปนั้น มีความได้เปรียบสถาบันการลงทุนใหญ่ๆ ที่ว่าเราลงทุนไม่มาก เราต้องการหุ้นดีๆ ไม่กี่ตัวที่เราแน่ใจว่าดีจริง แล้วลงทุนในหุ้นนั้นๆ หุ้นอื่นๆ อีก 90-95 % จะเป็นอย่างไรเราไม่สนใจ เพราะเป็นหุ้นที่ไม่มีอะไรเด่น เป็นหุ้นประเภทโภคภัณฑ์ที่หวังอะไรไม่ได้มากนัก

    ถ้าจะเปรียบเทียบกับการจับปลา วิธีการจับของเราก็คือการวางเบ็ดเพื่อจับปลาตัวใหญ่ๆ ไม่กี่ตัว ถ้าปลาติดเบ็ดอย่างที่เราคิด อาหารอันโอชะรอเราอยู่ข้างหน้า ส่วนนักลงทุนประเภทสถาบันลงทุนใหญ่ๆ นั้น วิธีการหาปลาของเขาต้องใช้แหหรือลงอวน ปลาส่วนใหญ่ที่ติดขึ้นมาก็คือปลาเล็กปลาน้อยเต็มไปหมด การหาปลาแบบใช้แหหรือลงอวนนั้นเป็นวิธีของนักการค้า ส่วนการใช้เบ็ดตกปลานั้นเป็นวิธีของศิลปิน

    การลงทุนเป็นศิลปะที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง มันใช้ความสามารถในการวิเคราะห์ การวิจารณ์ คาดการณ์ จังหวะการซื้อ การรอคอย การขาย และความเข้มแข็งของจิตใจในการเผชิญกับความผันผวนในโลกของเศรษฐกิจการเงิน ทั้งหมดนี้มีความมั่งคั่งส่วนบุคคลเป็นเดิมพัน
  • นักวิเคราะห์หลักทรัพย์โดยทั่วไปเน้นการลงทุนสั้นๆ ต้องการให้นักลงทุนหรือคนเล่นหุ้นซื้อขายหลักทรัพย์บ่อยๆ เพื่อจะได้รับคอมมิสชั่นจากการซื้อขายมากๆ ส่วนการลงทุนระยะยาวจะมองพื้นฐานของบริษัททั้งในด้านของการผลิต การตลาด และการเงิน วิเคราะห์บริษัทในแนวที่คล้ายกับว่าจะเข้าเป็นหุ้นส่วนธุรกิจและจำเป็นต้องอยู่นาน
    1. ดูข้อมูลย้อนหลังหลายๆ ปี จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ไม่คาดการณ์อนาคตมากนัก โดยทั่วไปก็ประมาณคร่าวๆ ไป 1 ไตรมาสหรือคาดการณ์ถึงสิ้นปีแบบง่ายๆ เช่น เอาข้อมูลกำไรล่าสุดเป็นฐาน แล้วคูณด้วยตัวเลขไตรมาสที่เหลืออยู่ เพื่อหาว่ากำไรในปีนี้จะเป็นเท่าไร เป็นต้น เหตุที่ทำเช่นนั้น ก็เพราะคิดว่าไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้แม่นพอ และที่เคยเห็นก็ไม่พบว่ามีนักวิเคราะห์คนไหนที่ทายได้แม่นจริงสักคน
    2. งบการเงิน ถ้ามีเงื่อนไขหรือมีหมายเหตุของผู้สอบบัญชีปรากฏอยู่บนหน้าแรก พึงต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะถ้างบการเงินไม่สะอาด โอกาสที่ภายในบริษัทจะไม่สะอาดด้วย ย่อมจะมี
    3. บริษัทที่มีหนี้สูงและพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ เป็นอันตราย คงรู้สึกไม่สบายใจว่าบริษัทอาจจะเจ๊งได้ เหมือนกับนอนบนคอนโดฯ สูง 30 ชั้น แล้วรู้สึกว่าตึกนั้นสร้างไม่แข็งแรง

      ลองคิดคร่าวๆ ถ้าบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีหนี้ประมาณ 10,000 ล้านบาท และต้องจ่ายดอกเบี้ยเพียงแค่ 15 เปอร์เซ็นต์ต่อปี จะต้องจ่ายดอกเบี้ยปีละไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท ซึ่งแปลว่า ต้องจ่ายดอกเบี้ยวันละไม่ต่ำกว่า 4 ล้านบาท ยังไม่นับเงินต้นที่ต้องทยอยคืน ถามว่าบริษัทจะจ่ายได้อย่างไร เพราะถ้าสมมติว่าขายบ้านได้วันละ 4-5 หลังทุกวัน ราคาหลังละล้านเศษ ก็จ่ายได้เฉพาะค่าดอกเบี้ยเท่านั้น ค่าใช้จ่ายอื่นๆ และเงินต้นที่จะต้องคืนเพื่อปลอดจำนองบ้านและที่ดินที่ติดอยู่กับสถาบันการเงินยังไม่นับ
    4. ผลการดำเนินงานไตรมาสล่าสุดจะต้องดี น่าประทับใจ นั่นคือ กำไรคิดเป็นเม็ดเงินต้องมากกว่าไตรมาสที่ผ่านมา กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นต้องสูง อย่างน้อยก็ 18-20 เปอร์เซ็นต์ต่อปีขึ้นไป การที่เราจะซื้อหุ้นโดยที่กำไรยังไม่ได้แสดงให้เห็นว่าดีขึ้นนั้น เราอาจจะต้องรอนานกว่าหุ้นจะขึ้นไปได้ หุ้นนั้นจะขึ้นไปได้ก็ต้องมีกำไรมาหนุน มาเป็นตัวขับดันให้หุ้นวิ่ง อย่างไรก็ตาม กำไรที่จะให้ผลได้จริงๆ นั้น จะต้องเป็นกำไรจากการดำเนินงาน ไม่ใช่กำไรที่เกิดจากการขายทรัพย์สิน
  • คุณภาพ VS ราคาหุ้น

    ในการวิเคราะห์ความคุ้มค่าของหุ้นนั้น จะต้องเปรียบเทียบระหว่างคุณภาพของหุ้นหรือของกิจการกับราคาหุ้นที่จะซื้อ อัตราส่วนความคุ้มค่าเรียกกว่า PEG Ratio ซึ่งเกิดจากการเอา P/E ของหุ้นตั้ง และหารด้วย G (Growth) หรือการเจริญเติบโตของกำไร

    ถ้าอัตราส่วนออกมาน้อยกว่า 1 เท่า หรือค่า P/E ต่ำกว่าการเจริญเติบโตของกำไร แสดงว่าหุ้นมีราคาถูก เพราะราคา (ซึ่งแทนด้วยค่า P/E) ต่ำกว่าคุณภาพ (ซึ่งแสดงด้วยการเจริญเติบโตของกำไร) ในทางตรงกันข้าม ถ้า PEG มีค่ามากกว่า 1 เท่า หรือค่า P/E สูง แต่การเจริญเติบโตต่ำ แสดงว่าหุ้นมีราคาแพง เกินกว่าคุณภาพ ไม่น่าสนใจที่จะซื้อ

    ตัวอย่างหุ้น ก. มี P/E 5 เท่า และหุ้น ข. มี P/E 10 เท่า เราบอกว่า หุ้น ก. มีราคาถูก และหุ้น ข. มีราคาแพง แต่ถ้าสมมุติว่า กำไรของบริษัท ก. นั้นถึงแม้ว่าจะมาก แต่วิเคราะห์ดูแล้ว อนาคตคงไม่เติบโตขึ้นอีกเท่าไร ประมาณให้เพียง 2.5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ในขณะที่บริษัท ข. นั้นกำไรมีแนวโน้มที่จะเติบโตไปอีกมาก เพราะอยู่ในธุรกิจที่โตเร็ว และบริษัทเป็นผู้นำ คาดว่าจะโตถึง 20 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ในระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5-6 ปีข้างหน้า คำนวณค่า PEG พบว่า หุ้น ก. มีค่า PEG เท่ากับ 5/2.5 = 2 เท่า มากกว่า 1 ซึ่งถือว่าไม่คุ้มค่าที่จะลงทุน ในขณะที่หุ้น ข. มี PEG เท่ากับ 10/20 = 0.5 เท่า น้อยกว่า 1 เป็นหุ้นที่คุ้มค่า น่าลงทุนกว่า

    อย่างไรก็ตาม การใช้ค่า PEG นั้น จะไม่ใช้เป็นตัวตัดสินว่าจะเลือกหุ้นบริษัทหนึ่งเหนือหุ้นอีกบริษัทหนึ่ง โดยดูว่ามีค่า PEG ต่ำกว่าแต่เพียงอย่างเดียว เพราะค่า G หรือการเจริญเติบโตของกำไรนั้น เป็นค่าที่เกิดจากการคาดการณ์อนาคตไปหลายปี เอาแน่มากไม่ได้ แต่ค่า P/E เป็นค่าที่ใกล้เคียงความเป็นจริงกว่า โดยเฉพาะค่า P หรือราคาหุ้นนั้น เป็นของจริงที่เราต้องควักกระเป๋าจ่าย

    ดังนั้นในหลายๆ กรณี จะให้ความสำคัญแก่ค่า P/E มากกว่า เช่น ถ้าหุ้นตัวหนึ่งมีค่า P/E เพียง 3-4 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำมาก แบบนี้แม้กำไรของบริษัทไม่โตเลย ก็ยังคุ้มที่จะลงทุน เพราะค่า P/E ที่ 3-4 เท่านั้น หมายความว่าค่า E/P หรือผลตอบแทนต่อปีของการลงทุนซื้อหุ้น จะเท่ากับ 25-33 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่งดงาม ไม่จำเป็นที่กำไรจะต้องโต ก็ยังคุ้มที่จะลงทุน

    ในทางตรงกันข้าม หากค่า P/E สูงมาก เช่น เท่ากับ 20 เท่า แม้จะดูว่าบริษัทเป็นประเภทเติบโตเร็วไม่น้อยกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ก็อาจจะไม่น่าสนใจซื้อหุ้นตัวนี้ เพราะถ้าการเจริญเติบโตไม่เป็นไปตามที่คาด ราคาหุ้นอาจตกลงมาได้มาก เนื่องจากเป็นหุ้นราคาแพง
  • ลงทุนในหุ้นแบกับดิน (Value Investment)

    ถ้าเป็นคนที่ชอบซื้อของในงานวัด หรืองานขายของถูกที่จัดกันบ่อยมากละก็ ก็คือ Value Investor ในความหมายดั้งเดิม นักลงทุนประเภทนี้จะมองหาหุ้นของบริษัทที่มีราคาตกต่ำลงมามาก
  • หุ้นกลุ่มธุรกิจที่ผลิตสินค้าประเภทโภคภัณฑ์ หรือสินค้าที่ไม่มีจุดเด่นอะไรเป็นพิเศษและมีคู่แข่งมากมายนั้น เป็นหุ้นที่ไม่ใคร่น่าสนใจนัก และพึงหลีกเลี่ยงที่จะลงทุน

    เมื่อรู้ว่าธุรกิจใดเป็นธุรกิจที่ดีในเชิงผลิตภัณฑ์และการตลาดแล้ว สิ่งต่อมาก่อนที่จะคิดซื้อหุ้นก็คือ จะต้องวิเคราะห์งบการเงินของบริษัทนั้น การวิเคราะห์งบการเงิน จะต้องดูว่า การทำกำไรของบริษัทเป็นอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้น เพราะอัตราส่วนกำไรตัวนี้เป็นตัวที่จะบอกว่า ธุรกิจนั้นมีกำไรดีพอไหม ถ้ากำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นน้อยกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ แสดงว่ากำไรยังใช้ไม่ได้ ถ้าแนวโน้มยังไม่เพิ่มขึ้น หุ้นก็ไม่น่าสนใจ

    ถัดจากเรื่องกำไรขาดทุนก็เป็นเรื่องของฐานะการเงิน สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เรื่องของหนี้สิน โดยเฉพาะหนี้สินที่เป็นการกู้ยืมจากสถาบันการเงินที่บริษัทต้องจ่ายดอกเบี้ย ถ้าหนี้สินตัวนี้มากบริษัทก็ลำบาก อย่างไรก็ตามหนี้สินรวมทั้งหมด ไม่ควรจะมากกว่าเงินทุนในส่วนของผู้ถือหุ้น เพราะถ้าหนี้สินมากกว่าเงินทุนส่วนของเจ้าของ โอกาสที่บริษัทจะประสบกับการล้มละลายก็มีมากขึ้น

    นอกจากการวิเคราะห์ดูงบดุลและงบกำไรขาดทุนแล้ว เราก็ควรดูแนวโน้มด้วยว่า ฐานะการดำเนินงานของบริษัทดีขึ้นหรือ เลวลง เช่น กำไรเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน หรือหนี้ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา เป็นต้น

    เมื่อพิจารณาเรื่องผลการดำเนินงานของบริษัทแล้ว ขั้นต่อมาก็คือ การดูว่าหุ้นนั้นมีราคาถูกหรือแพง โดยเปรียบเทียบกับคุณภาพของหุ้นตัวนั้นเอง คำว่าถูกหรือแพงนั้น เราดูที่อัตราส่วน 2 ตัว คือค่า P/E และค่า P/B

    ค่า P/E คือราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้น ส่วนค่า P/B คือ ราคาหุ้นต่อมูลค่าตามบัญชีของหุ้น ถ้า P/E และ P/B มีค่าต่ำ แสดงว่าหุ้นมีราคาถูก ค่า P/E ควรต่ำกว่า 5 เท่า และค่า P/B ควรต่ำกว่า 1 P/E ควรมีค่า 15 เท่าขึ้นไปถึงจะเรียกว่าแพง และค่า P/B ไม่เกิน 2 เท่า ก็ยังถือว่าไม่แพง

    หลังจากที่รู้ว่าหุ้นแพงหรือหุ้นถูกดูกันอย่างไรแล้ว เรากำหนดว่า คุณภาพของหุ้นให้ดูจากอัตราการเจริญเติบโตของกำไรของบริษัท ถ้ากำไรเติบโตสูง ถือว่ามีคุณภาพดี กำไรเติบโตแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ถือว่าบริษัทโตช้า คุณภาพต่ำ

    เมื่อได้ทั้งราคาและคุณภาพแล้ว เราก็เปรียบเทียบกันโดยคำนวณค่าของ PEG Ratio หรืออัตราส่วน P/E ต่อการเจริญเติบโตที่คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ เช่น ถ้าบริษัทมีค่า P/E เท่ากับ 5 เท่า แต่โตปีละ 10 เปอร์เซ็นต์ เช่นนี้ค่า PEG ก็เท่ากับ 5/10 หรือ 0.5 ค่า PEG ที่ต่ำกว่า 1 ถือว่าเป็นหุ้นที่มีความคุ้มค่า น่าลงทุน ส่วนหุ้นที่มี PEG สูงกว่า 1 คือค่า P/E สูงกว่าอัตราการเจริญเติบโตของกำไร เรียกว่าหุ้นราคาแพงกว่าคุณภาพ อย่างนี้ไม่ควรลงทุน
 

PlAwAnSaI

Administrator
Investment - แก่นการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

  • คนจำนวนไม่มากที่มีคุณสมบัติของนักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จ บางคนอาจฝึกฝนได้ แต่ไม่ใช่ว่ามันจะเรียนรู้กันได้ทุกคน
  • คุณต้องอดทนและให้เวลากับตัวเองมากพอ คุณไม่ได้หวังรวยลัดแต่ต้องการผลตอบแทนอันมั่นคงในระยะยาว
  • "ถ้าคุณชอบสินค้าของบริษัทนั้น คุณก็ซื้อเลย" การเป็นนักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยอะไรมากกว่านั้นเยอะ
  • ผลตอบแทนชั้นเยี่ยมจะเกิดจากการคาดการณ์ที่แตกต่างจากความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ได้อย่างถูกต้องเท่านั้น
  • ในการลงทุนให้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน การประเมินมูลค่าที่เหมาะสมให้ได้ถูกต้อง เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ
  • การลงทุนแบบเน้นคุณค่าหลีกเลี่ยงการคาดเดาอนาคต และการลงทุนแบบเน้นการเติบโตเน้นเรื่องการคาดเดาอนาคตเพียงอย่างเดียว (หา Style ของตัวเองให้เจอ)
  • ถ้าเลือกธุรกิจถูก เวลาจะช่วยลดความเสียหายจากการซื้อแพงได้
  • แน่นอนว่า การมองเห็นอนาคตยากกว่าการมองดูปัจจุบันมาก ดังนั้นโอกาสประสบความสำเร็จของนักลงทุนหุ้นเติบโตควรจะต่ำกว่า แต่ผลตอบแทนของการประสบความสำเร็จอาจจะสูงกว่า
  • โดยทั่วไปแล้ว ระยะเวลา 2-3 ปี จะเพียงพอสำหรับการปรับราคาให้ "ถูกต้อง" ของตลาด
  • นักลงทุนควรคำนึงถึงความเสี่ยงเรื่องการล้าสมัยด้วย เนื่องจากมันสามารถทำให้หุ้นถูกกลายเป็นกับดักมูลค่า (Value trap)
  • การรู้ว่าควรซื้อเมื่อไหร่ช่วยบรรเทาความผิดพลาดที่เกิดจากการขายเร็วเกินไปได้
  • แค่เลือกซื้อหุ้นของบริษัทชั้นดีมันไม่พอ ต้องซื้อในระดับราคาที่สมเหตุผลด้วย (ราคาถูกได้ยิ่งดี)
  • ต่อให้ข้อดีต่างๆ ของหุ้นเป็นความจริง ก็ยังสามารถขาดทุนได้ ถ้าซื้อมันมาในราคาที่แพงเกินไป
  • ซื้อในราคาที่ควรซื้อเป็นสิ่งที่ยาก แต่ถ้าทำได้อย่างถูกต้องแล้ว เวลาและผู้เล่นคนอื่นๆ ในตลาดจะจัดการกับส่วนที่เหลือเอง
  • การตัดสินใจควรจะคิดถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องด้วย ไม่ใช่คิดถึงแต่เรื่องผลตอบแทนอย่างเดียว
pantip.com/topic/35560868
today.line.me/th/article/e3cc6ca01c0a6081509b5e7df3ce513f7f09d374c8283ff37c6d321b5772014d
 

PlAwAnSaI

Administrator
Investment - หุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญ Common Stocks and Uncommon Profits

  • ถ้าต้องการจะทำกำไรให้ได้มากจากการลงทุน

    จำเป็นต้อง "อดทน" มันเป็นเรื่องง่ายที่จะพูดว่า จะเกิดอะไรกับราคาหุ้น

    (เช่น หุ้น A จะขึ้น หรือ หุ้น B จะลง) แต่มันยากอย่างยิ่งที่จะบอกเวลา

    ว่ามันจะเกิดเมื่อไหร่
จะซื้อหุ้นตัวไหน

1. บริษัทมีสินค้าหรือบริการที่มีศักยภาพของตลาดเพียงพอที่จะทำให้มีการเพิ่มขึ้นของยอดขายเป็นเวลาอย่างน้อยหลายปีไหม?

2.



ฝ่ายจัดการมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสินค้าหรือกระบวนการผลิตต่อเนื่องที่จะยังคงสามารถเพิ่มยอดขายรวมในอนาคต

เมื่อโอกาสการเติบโตของสินค้าที่น่าสนใจในปัจจุบันใกล้ถึงจุดอิ่มตัวไหม?

3. ประสิทธิภาพของงานวิจัยและพัฒนาของบริษัทเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับขนาดของมัน?

4. บริษัทมีหน่วยงานขายที่เหนือกว่าค่าเฉลี่ยหรือไม่?

5. บริษัทมีกำไรต่อยอดขายที่คุ้มค่าไหม?

6. บริษัททำอะไรที่จะรักษาหรือทำให้กำไรต่อยอดขายสูงขึ้น?

7. บริษัทมีแรงงานสัมพันธ์ที่โดดเด่นหรือไม่?

8. บริษัทมีความสัมพันธ์ของผู้บริหารที่โดดเด่นหรือไม่?

9. บริษัทมีฝ่ายบริหารเพียงพอไหม?

10. ระบบการวิเคราะห์ต้นทุนและการควบคุมทางบัญชีของบริษัทดีแค่ไหน?

11.

มีประเด็นอื่นๆ

ของธุรกิจซึ่งค่อนข้างจะเป็นลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง

ซึ่งจะให้ร่องรอยที่สำคัญกับนักลงทุนว่าบริษัทมีความโดดเด่นอย่างไรเมื่อเทียบกับคู่แข่งหรือไม่?

12. บริษัทมีภาพอนาคตระยะสั้นและระยะยาวเกี่ยวกับกำไรของบริษัทหรือไม่?

13.

ในอนาคตที่มองเห็นได้

การเจริญเติบโตของบริษัทจะต้องการเงินทุนจากผู้ถือหุ้นเพิ่มเติมหรือไม่

ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น

จำนวนหุ้นที่มากขึ้นจะไปลบล้างผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเดิมจากการเจริญเติบโตที่คาดหวังนั้นหรือไม่?

14.

ฝ่ายจัดการพูดกับนักลงทุนอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับกิจการ เมื่อสิ่งต่างๆ

เป็นไปด้วยดีแต่ "หมกเม็ด"

เมื่อมีปัญหาและสิ่งที่น่าผิดหวังเกิดขึ้นหรือไม่?

15. บริษัทมีฝ่ายจัดการที่มีความน่าเชื่อถือร้อยเปอร์เซ็นต์หรือไม่?

Cr: Yeaww
 

PlAwAnSaI

Administrator
Thinking - สามก๊ก

https://www.youtube.com/watch?v=plwc2zpR4U0
www.soccersuck.com/boards/topic/1463847

www.youtube.com/playlist?list=PLfAm5_LcqKVSsZ8Mb23Ra7DQSIbiwrhci
 

PlAwAnSaI

Administrator
Investment - Mastering Elliot Wave

1. Elliott Wave Theory
  • Price patterns of Crowd psychology
  • Elliott wave Theory
    • Quantification of Mass Psychology
  • Why The Controversy?
    • Complexity
    • Public Mind Set
    • Years to Master
    • Application Requires Time
    • Endless Array of specifics
    • Memorization
    • Frequent Indeterminacy
    • Difficulty
2. Monowave Groups & Polywave Groups
  • A Monowave:

    Price continually moves up or down (with no intervening action in the opposite direction), the movement should be considered a monowave. The most important task to learn as an Elliott Wave analyst is to correctly interpret monowaves. The entire Theory is based on the proper identification of monowaves.

    Usually, monowaves are perfectly straight, but sometimes they are not.

    Even if the upmove is not completely straight, it still should be considered "one wave" (a monowave) until a change in price direction occurs.
  • Polywave:

    Two/Three/... monowaves combined in the proper fashion create one (1) Corrective/Impulsive polywave.
3. Impulsions & Corrections

4. Neely Extensions of Elliott Wave Theory

5. Impulsions and Correction End Confirmation

6. Complexity (Complex Polywaves, Multiwaves, Macrowaves)

7. Pattern Implications (Retracement based on Power Ratings)

8. Advanced Progress Labels (Specific label position of waves)

9. Advanced Fibonacci Relationships (Impulsions & Corrections)

10. Channeling (Trendline Touch Points / Time Rule)

Cr: Kitty63
cool.gif
 

PlAwAnSaI

Administrator
Investment - AiC
Army Investor Course

INFLATION:
40 Baht:
Inflation 4.06% 30 years => 132 Baht
Saving 0.75% 30 years => 50 Baht
Saving 2.625% 30 years => 87 Baht
www.bot.or.th/thai/statistics/financialmarkets/interestrate/_layouts/application/interest_rate/in_rate.aspx
www2.bot.or.th/statistics/reportpage.aspx?reportid=409&language=th

c4ff9dd0-6744-484a-a485-8846617e7ea9.jpg


Pork:
2005 => 3฿
2010 => 7฿
2016 => 10฿

Negative Interest Rate:
Thailand 0%
Bulgaria 0.01%
Canada 0.50%
Czech Republic 0.05%
Euro zone 0.05%
Fiji 0.50%
Hong Kong 0.75%
Israel 0.10%
Japan -0.10%
Norway 0.75%
Sweden -0.50%
Switzerland -0.75%
on 22/10/2016

RETURN ON INVESTMENT:
Gold 41 years (2518-2559) = 6.9%

Compound Annual Growth Rate:
Year 1 100 +10% > 110 > 10
Year 2 110 +10% > 121 > 11
Year 3 121 +10% > 133.1 > 12.1
...
Year 8 > 200

If start 100,000 & 6,000/month
15% year 30 = 37,922,828 will get 158,012/Month

Don't put all your EGGS In a single basket.

How stock up/down?
- News
- Policy
- FED
- Net Profit

Dow Theory:
Charles Henry Dow
1. The market discount everything.
2. The market has three movements.
Primary 1 year - Secondary 6 months - Minor 3 months
- Uptrend
- Downtrend
- Sideway
3. Market trends have three phases.
- Uptrend
I Accumulative
II Public Paticipation
III Greedy
- Downtrend
I Distribution
II Decrease
III Panic
4. Stock market averages must confirm each other.
5. Volume must confirm the trend.
6. Trends exist until definitive signals prove that they have ended.

Reversal Point, Support, Resistance

Basic Japan Candlestick:
Honma Munehisa (1724-1803)
- Bullish Candle (White/Green)
- Doji at resistance > down
- Doji at support > up

Cr: Arm
cool.gif
 

PlAwAnSaI

Administrator
Thinking - Peak: Secrets from the New Science of Expertise
  • Grandmaster ในสาขาใดๆ ไม่ได้เกิดมาจากพรสวรรค์ พวกเขาสร้างตัวเองขึ้นมาจากวิธีการฝึกฝนที่ใช้ได้ผล
  • คนที่ไปไม่ถึงไม่ใช่ว่าไร้ความสามารถ แค่ใช้วิธีการฝึกที่ใช้ไม่ได้ผลกับตัวเขาเอง
  • วุฒิการศึกษา, อายุ ไม่ใช่ขีดจำกัดที่จะเชี่ยวชาญในสาขาที่เลือกจะฝึกฝน
  • ไม่มีกฏหมื่นชั่วโมง อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่า ขึ้นกับศาสตร์แขนงที่ฝึกฝน มันไม่มีกฏ (แย้งกับทฤษฎีของ Malcom Gladwell)
  • ไม่มีการฝึกแบบ General, คุณไม่ได้ฝึกเพื่อเป็นหมอ แต่ฝึกเพื่อเป็นหมอผ่าตัด, คุณไม่ได้ฝึกเพื่อเป็นนักกีฬา แต่ฝึกเพื่อเป็นนักบาสเกตบอล / นักวิ่ง, คุณไม่ได้ฝึกเป็นเซียนเกม แต่ฝึกเป็นเซียนหมากรุก / เซียนไพ่บริดจ์
  • การทำสิ่งที่เชี่ยวชาญซ้ำๆ หลายปีไม่ได้หมายความว่าคุณพัฒนาขึ้น (Perform ไม่ใช่ Practice)
  • Grandmaster ในศาสตร์ทุกแขนงจะมีทักษะสร้างภาพในจิตใจ เรียกว่า Mental Representation เช่น การอ่านการเคลื่อนไหวก่อนจ่ายบอลในฟุตบอล, การวางนิ้วของนักดนตรี, การจำตาเดินในหมากรุก
  • ขั้นไร้เดียงสาของการฝึกฝน ออกจาก Comfort Zone ทำซ้ำไปเรื่อยๆ จนกระทั่งกลายเป็นโหมดอัตโนมัติแล้วหยุดฝึก แล้วทำสิ่งนั้นในโหมดอัตโนมัติไปเรื่อยๆ วิธีนี้จะได้ทักษะใหม่ แต่ทักษะจะเริ่มถดถอยเมื่อเข้าโหมดอัตโนมัติ
  • ขั้นถัดมาของการฝึกฝน ฝึกฝนอย่างมีเป้าหมายมากกว่าแค่ให้ทำได้ในโหมดอัตโนมัติ, Motivate ตัวเองตลอดเวลา, ออกจาก Comfort Zone อยู่เรื่อยๆ ระหว่างขั้นตอนการฝึกฝน, ปรับเปลี่ยนวิธีการเสมอๆ เมื่อชนขีดจำกัดเพื่อให้ก้าวหน้าไปทีละน้อย แต่วิธีนี้ยังมีข้อจำกัด และเสี่ยงที่จะเข้าด้านมืดไปซะก่อน แต่ก็ใช้การได้
  • ขั้นที่สามของการฝึกฝน ตามหาโยดา, หา Expert ในศาสตร์ที่ต้องการฝึกฝนให้เจอ แล้วฝึกฝนกับโยดา ถ้าหาไม่ได้ ให้ศึกษาคนที่เคยทำได้ดีที่สุดในศาสตร์แขนงนั้นๆ แล้วใช้การฝึกฝนขั้นที่สองไปต่อยอดจากจุดที่เขาทำไว้
  • โยดาจะมีวิธีการฝึกฝนที่ทำให้บรรลุศาสตร์นั้นที่ใช้ได้ผลมาแล้ว ให้ฝึกจากโยดา แต่ต้อง Adapt ให้เข้ากับลักษณะเฉพาะตน
  • โยดาจะต้องให้คำแนะนำได้มากกว่าถูกหรือผิด แต่จะต้องแนะนำได้ถึงกระบวนการที่ผู้ฝึกได้มาซึ่งผลลัพท์ แต่ไม่ใช่บอกให้ทำตาม ก็คือแนะนำให้พัฒนา Mental Representation ได้นั่นเอง
  • ศาสตร์ที่สามารถวัดผลได้ชัดเจนจากการแข่งขัน เช่น Musician, Game, Sport สามารถหา/วัด Expert ได้ง่ายจากผลงานการแข่งขัน
  • ศาสตร์ที่วัดผลจากการแข่งขันไม่ได้เช่น Doctor, Writer, Programmer, Engineer ให้ระบุความเชี่ยวชาญให้เจาะจงมากขึ้นเพื่อหาโยดา
  • ระวังการโน้มเอียงที่จะระบุผู้เชี่ยวชาญจากเพศ การศึกษา บุคลิกและภาพลักษณ์ ถือเป็นอคติอย่างหนึ่ง
  • เมื่อฝึกฝนสิ่งที่ไม่เคยทำได้ถึงระดับหนึ่ง สมอง/ร่างกายจะปรับเข้าโหมดที่เรื่องที่ไม่เคยทำได้นั้นกลายเป็นเรื่องธรรมดา เรียกว่า Homeostasis การฝึกฝนและพัฒนาจะต้องท้าทายสมอง/ร่างกายให้ออกจากโหมดนี้เสมอๆ
Cr: Worn
cool.gif
 

PlAwAnSaI

Administrator
Investment - ทุนนิยมในศตวรรษที่ 21 - Capital in the Twenty-First Century
  • ทุน หมายถึง ทุนทางธุรกิจ (อาคาร เครื่องจักร สิทธิบัตร และอื่นๆ) อสังหาริมทรัพย์ และสินทรัพย์ทางการเงิน (หุ้น พันธบัตร และอื่นๆ)
  • รายได้ประชาชาติ = ผลตอบแทนต่อทุน x อัตราส่วนทุน/รายได้
  • ความมั่งคั่งไม่ใช่รายได้เพียงอย่างเดียวแต่รวมถึงสินทรัพย์ที่ครอบครอง
  • รายได้แยกเป็นสองประเภทคือรายได้จากแรงงานและรายได้จากทุน
  • การสะสมความมั่งคั่งของบุคคลแยกไม่ออกกับการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมนั้นๆ มีผลเสมอ
  • ตลาดและเทคโนโลยีนั้นเหมือนกันคือมันไม่มีศีลธรรม
  • สังคมที่มีคนอยู่และบริโภคด้วยรายได้จากทุนเพียงอย่างเดียวมีอยู่จริง (Passive Income ที่ปัจจุบันชอบเอามาใช้ขาย MLM กันนั่นเอง) ซึ่งเป็นสังคมก่อนสงครามโลกทั้งสองครั้ง แต่เป็นคนกลุ่มเล็กมากราว 1 - 5 % ของประชากร โดยเรียกคนกลุ่มนี้ว่าเป็น Rentier หรือผู้มีรายได้จากดอกเบี้ยและค่าเช่า (ยุคนั้นดอกเบี้ยพันธบัตรสูงกว่าสมัยนี้มาก และการครอบครองอาคารก็ยังไม่มีลักษณะแบ่งเป็นห้องชุดแต่เป็นอาคารทั้งหลัง) ซึ่งมีความมั่งคั่งกว่ายี่สิบเท่าจากค่าเฉลี่ย
  • เหล่า Rentier ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผู้ที่ได้รับมรดกมา และยังชีพจากการกินดอกผลจากทุนนั้น หรือเรียกได้ว่าสังคมสมัยนั้นเป็นสังคมอิงมรดกนั่นเอง
  • สภาพสังคมอิงมรดกมีลักษณะเด่นที่ว่า ความมั่งคั่งที่สามารถสะสมได้ และการเข้าถึงทรัพยากรของผู้ที่ได้รับมรดกหรือมีทุนเริ่มต้นสูงกว่านั้นมากกว่าคนที่มีแรงงานเป็นทุนเพียงอย่างเดียว (เมื่อวัดตลอดชีวิต) เป็นสิบเท่า
  • สังคมอิงมรดกหายไป (ชั่วคราว) ไม่ใช่ว่าเกิดจากปฏิวัติอุตสาหกรรม, การศึกษาและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลสะเทือนของการที่ทุนถูกทำลายจากสงครามโลกทั้งสองครั้งและอัตราการเติบโตของประชากรสูงขึ้น (คนรุ่นเบบี้บูม)
  • ไม่มีกลไกเชิงเศรษฐกิจตามธรรมชาติใดที่ไม่ใช่การแทรกแซงจากรัฐในประวัติศาสตร์ มาก่อนที่จะลดความเหลื่อมล้ำด้านกรรมสิทธิ์ทุนและรายได้จากทุนได้ นอกจากสงครามและความขัดแย้งทางการเมือง
  • แนวคิดเชิดชูความสามารถของบุคคลว่าบุคคลสามารถมั่งคั่งขึ้นมาได้จากความสามารถล้วนๆ เทียบเท่ากับผู้มีทุนสูงกว่านั้นไม่เป็นจริงในเชิงเศรษฐศาสตร์ (จากเหตุผลด้านการเข้าถึงทรัพยากรและโอกาสตลอดชีวิตด้านบน)
  • ตัวอย่างของข้อก่อนหน้าคือกรณีของ Liliane Bettencourt ทายาทลอรีอัล (ก่อตั้งปี 1907) ซึ่งทั้งชีวิตไม่เคยทำงานเลยแม้แต่วันเดียวแต่ก็มีสินทรัพย์ที่โตเร็วพอๆ กับ Bill Gates แถมยังมากเป็นหกเท่าของ Steve Jobs
  • การที่เรารับรู้และรู้สึกว่าทุนมนุษย์ (ความสามารถ) มีพลังมากกว่าทุนที่รับสืบทอดมานั้นเป็นภาพมายาของผลจากสงครามโลกทั้งสองครั้งที่ทำให้รายได้จากทุนลดลงต่ำกว่ารายได้จากแรงงาน (คิดเป็นเปอร์เซ็นจากรายได้ประชาชาติ) และเป็นครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ที่เป็นเช่นนั้น พร้อมๆ กับการเกิดขึ้นของผู้จัดการและซีอีโอเงินเดือนสูง (ทำให้รายได้จากแรงงานไล่ทันและแซงรายได้จากทุนที่ลดลงจากผลของสงคราม) อนึ่ง สภาพเช่นนั้นได้จบลงแล้วในศตวรรษที่ 21 (รายได้จากทุนกลับมาสูงกว่ารายได้จากแรงงานมากขึ้นเรื่อยๆ)
  • สังคมสมัยใหม่ความมั่งคั่งส่วนใหญ่จะถูกครอบครองแบบผสมระหว่างผู้ที่ได้รับสืบทอดทุนและเหล่าผู้จัดการที่ทั้งอาจเป็นผู้มีทุนที่รับสืบทอดมาด้วยหรือไม่ก็ได้
  • สังคมประชาธิปไตยนั้นอิงอยู่กับแนวคิดเรื่องความสามารถของบุคคล หรือก็อิงกับความใฝ่ฝันว่าทุกคนจะถูกตัดสินด้วยความสามารถของตน หมายถึงว่าความเหลื่อมล้ำนั้นเกิดจากความสามารถของคนเราไม่เท่ากันมากกว่า เพราะเครือญาติและรายได้จากทุน แต่โลกทุนนิยมไม่ได้เป็นแบบนั้น
  • การกระจายรายได้จากแรงงานเหลื่อมล้ำน้อยกว่าการกระจายรายได้จากทุนและกรรมสิทธิ์ทุนเสมอ ตลอดประวัติศาสตร์
  • รายได้จากแรงงานไม่มีทางไล่ทันราคาสินค้าและบริการซึ่งถูกกำหนดโดยผู้ครอบครองกรรมสิทธิ์ทุน ดังนั้นการเรียกร้องค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้นไม่ได้ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นอย่างที่เราเคยเข้าใจ เพราะไม่มีทางไล่ทัน
  • สังคมใดที่มีอัตราการเติบโต (เชิงเศรษฐกิจและเชิงประชากร) ต่ำนั้น มีแนวโน้มว่าทุนที่รับสืบทอดมา (ทั้งในรูปมรดกหรือให้ขณะมีชีวิต) จะมีความสำคัญ (ในการสะสมความมั่งคั่ง) มากขึ้นกว่าผู้ที่มีรายได้จากแรงงานเป็นความมั่งคั่งเพียงอย่างเดียวที่มี
  • อัตราการเติบโตจะไปลดผลตอบแทนต่อทุน (จ่ายค่าจ้างแรงงานมากขึ้น) และเพิ่มรายได้จากแรงงานในสัดส่วนรายได้ประชาชาติ
  • อัตราส่วนรายได้จากทุนในรายได้ประชาชาติ (รายได้ของประเทศนั้นๆ) จะมากกว่ารายได้จากแรงงานเสมอในข้อมูลตลอดประวัติศาสตร์ที่มี และจะเป็นเช่นนั้นไปเรื่อยๆ ถ้าโครงสร้างไม่เปลี่ยน แปลว่าถ้าทุกวันนี้คุณทำงานเพื่อไต่เงินเดือนเพียงอย่างเดียว มาผิดทางแล้วครับ คุณต้องครอบครองทุนให้ได้ถ้าคุณอยากสร้างความมั่งคั่ง
  • เงินนั้นสามารถสร้างเงินเป็นความจริงและชนะความสามารถของบุคคลเสมอในการสะสมความมั่งคั่ง โดยเฉพาะกับปริมาณใหญ่มากๆ (สามารถลงทุน เอาดอกผลมากิน และเอาส่วนที่เหลือไปลงทุนเพิ่ม ทบทวีไปเรื่อยๆ)
  • Marginal Productivity หรือผลิตภาพส่วนเพิ่มของแรงงานจะวัดยากและคลุมเครือกว่าผลิตภาพส่วนเพิ่มจากทุนเสมอ โดยจะวัดได้เฉพาะในแรงงานที่มีลักษณะเป็น Routine เหมือนกับไลน์การผลิตในยุคอุตสาหกรรมและในระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบเท่านั้น (คือเพิ่มแรงงานมาหนึ่งหน่วยก็จะเห็นความต่างทันที) ดังนั้นการที่ผลตอบแทนจากแรงงานของระดับผู้จัดการสูงกว่าพนักงานชั้นล่างทั่วไปนั้นยากจะบอกได้ว่าเป็นเพราะมี Productivity สูงกว่าจริงๆ ในเชิงเศรษฐศาสตร์
  • สภาพที่ผู้มีทุนน้อยสามารถสร้างผลตอบแทนต่อทุนได้เทียบเท่ากับผู้มีทุนสูงกว่านั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริงๆ เพราะผู้มีทุนสูงสามารถใช้ "การประหยัดจากขนาด" (สามารถเข้าถึงโอกาสในการลงทุนได้มากกว่าจากการใช้ส่วนน้อยของทุนจ้างที่ปรึกษา/ผู้จัดการทางการเงินที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางได้) และสามารถใช้ "Alternative Investment Strategies" กระจายการลงทุนไปในหลายๆ สินทรัพย์ได้ ดังนั้นนักลงทุนรายย่อยจึงต้องรับผลตอบแทนต่อทุนที่ต่ำกว่าไป
  • การทำงานเก็บเงินไว้ใช้ในยามเกษียณเป็นเพียงโมเดลหนึ่งเท่านั้นเรียกว่า Life Cycle Theory Of Wealth หมายถึงสังคมซึ่งสะสมความมั่งคั่งไว้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในยามเกษียณ และประชากรอาวุโสจะบริโภคทุนที่สะสมมาตลอดชีวิตการทำงานของพวกตนในช่วงเกษียณ (ในที่นี้หมายถึงบริโภคจนไม่เหลืออะไรไว้ให้สืบทอด)
  • ในศตวรรษที่ 21 กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของประเทศผู้ค้าน้ำมันจะมีสัดส่วนมากขึ้นในความมั่งคั่งรวมของโลก แต่ยังอีกห่างไกลความจริงกว่าจะถึงจุดที่คนตะวันตกจะเป็นคนจ่ายค่าเช่าให้คนซาอุฯ หรือกาตาร์
  • สำหรับคนชั้นกลางและชั้นล่างการซื้อบ้านจัดเป็นการลงทุนเพื่อป้องกันเงินเฟ้อถ้าคุณซื้อด้วยเงินสดเพราะมูลค่าจะเพิ่มใกล้เคียงกับราคาผู้บริโภคแต่มันจะไม่เป็นแบบนั้นถ้าคุณกู้
  • เงินเฟ้อนั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อลดความเหลื่อมล้ำแต่ผลของมันตรงกันข้ามในปัจจุบัน เพราะเงินเฟ้อลดอัตราผลตอบแทนต่อทุนได้ไม่เร็วพอสำหรับทุนขนาดใหญ่ ตรงกันข้าม เงินเฟ้อทำให้ชนชั้นกลางและผู้ลงทุนรายย่อยสะสมทุนได้ยากขึ้นและจำเป็นต้องเพิ่มการตัดสินใจทางการลงทุนบ่อยขึ้นเพื่อให้ได้ผลตอบแทนในระดับที่ต้องการ
  • การศึกษาและเทคโนโลยีเท่านั้นที่จะทำให้ผู้มีทุนเป็นแรงงานเพียงอย่างเดียวสามารถสร้างผลิตภาพ (Productivity) เพิ่มขึ้นมาได้ (แต่อย่าลืม ก็ยังคงไม่สามารถเพิ่มสูงเท่าส่วนของทุน โดยเฉพาะทุนที่รับสืบทอดมา ไม่ว่าจะในชั่วรุ่นเดียวกันหรือเปลี่ยนรุ่น)
Cr: Worn
 

PlAwAnSaI

Administrator
Thinking - The Last Resignment - การลาออกครั้งสุดท้าย

ชีวิตเรายังมี:
  • วิชาสุขภาพดี
  • วิชาทำให้พ่อแม่มีความสุข
  • วิชาครอบครัวรักกัน
  • วิชาเพื่อนที่ดี
  • วิชาสงบสุข
  • วิชาผจญภัย
  • วิชาความเข้าใจโลก
รวมไปถึง:
  • วิชาทำเพื่อส่วนรวม
ที่ต้องลงเรียนไปพร้อมๆ กันด้วย
Cr: The Last Resignment

Cr: ┌(
anime.gif
)┘

นี่แหละความเสียใจ - วันนี้ คุณใส่ใจความรู้สึก ของคนที่คุณรัก...มากพอหรือยัง?

“Man sacrifices his health in order to make money. Then he sacrifices money to recuperate his health. And then he is so anxious about the future that does not enjoy the present, the result being that he does not live in the present or the future. He lives as if he is never going to die, and then dies having never really lived.

มนุษย์เรานึ้ ยอมสูญเสียสุขภาพเพื่อทำให้ได้เงินมา แล้วต้องยอมสูญเสียเงินตรา เพื่อฟื้นฟูรักษาสุขภาพ แล้วก็เฝ้าเป็นกังวลกับอนาคต จนไม่มีความรื่นรมย์กับปัจจุบัน ผลที่เกิดขึ้นจริงๆ ก็คือ เขาไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน หรือแม้กระทั่งอยู่กับอนาคต เขาดำเนินชีวิตเสมือนหนึ่งว่าเขาจะไม่มีวันตาย และแล้วเขาก็ตายอย่างไม่เคยมีชีวิตอยู่จริง“
538540_432280263460520_48100987_n.jpg

You were born to do more than just go to work, pay bills, and die.
204d1e8ce879990f4af09218f7820f37.jpg

No one is always busy. It just depends on what number you are on their priority list.
No-one-is-always-busy.-It-just-depends-on-what-number-you-are-on-their-priority-list..png


  1. 24:
    anontawong.com/2012/01/25/life-is-as-difficult-as-you-make-it-to-be
  2. First step:
    anontawong.com/2012/01/25/first-step
  3. Inspiration:
    anontawong.com/2012/01/28/inspiration
  4. Why all the fuss?:
    anontawong.com/2012/02/07/why-all-the-fuss
  5. Unforgettable conversation:
    anontawong.com/2012/04/24/unforgettable-conversation
  6. 19:
    anontawong.com/2012/06/03/at-the-end-of-the-day-everything-is-a-game
  7. Hello World!:
    anontawong.com/2013/01/03/hello-world
  8. 15:
    anontawong.com/2013/07/01/15
  9. 12:
    anontawong.com/2013/08/07/crowded

    140208 - The pursuit of happyness:
    www.facebook.com/marketingeverythingbook/photos/a.215431685328083.1073741829.215052905365961/215835371954381
  10. คนเราจะมีพรุ่งนี้ได้อีกกี่วัน / How much are the years of your life?:
    anontawong.com/2014/02/11/how-much-are-the

    140216 - Involvement vs commitment:
    www.facebook.com/marketingeverythingbook/photos/a.215431685328083.1073741829.215052905365961/220449688159616

    140217 - เวลาตี 5:
    www.facebook.com/marketingeverythingbook/photos/a.215431685328083.1073741829.215052905365961/221108171427101
  11. ถอดร่าง / Soul Out:
    anontawong.com/2014/04/11/soul-out
  12. Inflation - เงินเฟ้อ:
    anontawong.com/2014/04/29/inflation
  13. 5:
    anontawong.com/2014/04/30/5
  14. ยิ่งใกล้ยิ่งดี - The Closer It Gets, The Better:
    anontawong.com/2014/05/15/the-closer-it-gets-the-better
  15. ทำงานอย่างไรไม่ให้เหนื่อย - How to avoid being exhausted from work:
    anontawong.com/2014/06/03/how-to-avoid-being
  16. เกิดใหม่:
    anontawong.com/2015/01/02/reborn
  17. Amazing Map!:
    anontawong.com/2015/01/03/what-are-some-amazing-maps
  18. ของขวัญ:
    anontawong.com/2015/01/04/ของขวัญ
  19. วันละ 1%:
    anontawong.com/2015/01/05/วันละ-1
  20. ย้อนแย้งในตัวตน:
    anontawong.com/2015/01/07/ย้อนแย้งในตัวตน
:cool:
 
Last edited:

PlAwAnSaI

Administrator
Ideas - TED - Technology, Entertainment and Design converged, and today covers almost all topics

  1. Do/How schools kill creativity?:
    www.ted.com/talks/ken_robinson_says_schools_kill_creativity
  2. Your body language shapes who you are:
    www.ted.com/talks/amy_cuddy_your_body_language_shapes_who_you_are
  3. How great leaders inspire action:
    www.ted.com/talks/simon_sinek_how_great_leaders_inspire_action
  4. The power of vulnerability:
    www.ted.com/talks/brene_brown_on_vulnerability
  5. This is what happens when you reply to spam email:
    www.ted.com/talks/james_veitch_this_is_what_happens_when_you_reply_to_spam_email
  6. How to speak so that people want to listen:
    www.ted.com/talks/julian_treasure_how_to_speak_so_that_people_want_to_listen
  7. 10 things you didn't know about orgasm:
    www.ted.com/talks/mary_roach_10_things_you_didn_t_know_about_orgasm
  8. Looks aren't everything. Believe me, I'm a model:
    www.ted.com/talks/cameron_russell_looks_aren_t_everything_believe_me_i_m_a_model
  9. Why we do what we do:
    www.ted.com/talks/tony_robbins_asks_why_we_do_what_we_do
  10. My stroke of insight:
    www.ted.com/talks/jill_bolte_taylor_s_powerful_stroke_of_insight
  11. What makes a good life? Lessons from the longest study on happiness:
    www.ted.com/talks/robert_waldinger_what_makes_a_good_life_lessons_from_the_longest_study_on_happiness
  12. The puzzle of motivation:
    www.ted.com/talks/dan_pink_on_motivation
  13. Inside the mind of a master procrastinator:
    www.ted.com/talks/tim_urban_inside_the_mind_of_a_master_procrastinator
  14. The power of introverts:
    www.ted.com/talks/susan_cain_the_power_of_introverts
  15. How to spot a liar:
    www.ted.com/talks/pamela_meyer_how_to_spot_a_liar
  16. The happy secret to better work:
    www.ted.com/talks/shawn_achor_the_happy_secret_to_better_work
  17. The art of misdirection:
    www.ted.com/talks/apollo_robbins_the_art_of_misdirection
  18. How I held my breath for 17 minutes:
    www.ted.com/talks/david_blaine_how_i_held_my_breath_for_17_min
  19. The thrilling potential of Sixth Sense technology:
    www.ted.com/talks/pranav_mistry_the_thrilling_potential_of_sixthsense_technology
  20. How to make stress your friend:
    www.ted.com/talks/kelly_mcgonigal_how_to_make_stress_your_friend
  21. The surprising science of happiness:
    www.ted.com/talks/dan_gilbert_asks_why_are_we_happy
  22. The danger of a single story:
    www.ted.com/talks/chimamanda_adichie_the_danger_of_a_single_story
  23. Your elusive creative genius:
    www.ted.com/talks/elizabeth_gilbert_on_genius
  24. Underwater astonishments:
    www.ted.com/talks/david_gallo_shows_underwater_astonishments
  25. Grit: The power of passion and perseverance:
    www.ted.com/talks/angela_lee_duckworth_the_key_to_success_grit
  26. Brain Magic:
    www.ted.com/talks/keith_barry_does_brain_magic
  27. Strange answers to the psychopath test:
    www.ted.com/talks/jon_ronson_strange_answers_to_the_psychopath_test
  28. The orchestra in my mouth:
    www.ted.com/talks/tom_thum_the_orchestra_in_my_mouth
  29. The price of shame:
    www.ted.com/talks/monica_lewinsky_the_price_of_shame
  30. Questions no one knows the answers to:
    www.ted.com/talks/questions_no_one_knows_the_answers_to
cool.gif
 

PlAwAnSaI

Administrator
Thinking - อย่าให้ ความอาย (หรือความเกรงใจ) ทำลายชีวิตคุณ

  • กล้าที่จะปฏิเสธ อย่าเกรงใจจนใครๆ เอาเปรียบคุณ
    • เปลี่ยนความน้อยเนื้อต่ำใจให้เป็นพลัง
    • คนเราแม้ถึงจุดต่ำสุดก็ต้องไม่ยอมแพ้
    • กล้าที่จะปฏิเสธ ชีวิตจึงจะมีรสชาติ
    • อยากเปลี่ยนเป็นคนใหม่ต้องมั่นใจในตนเอง
    • การรู้สำนึกในบุญคุณคือสิ่งที่ดีงามของชีวิต
  • ในชีวิตคนเรา มีทั้งได้และเสีย เราต้องรู้จักเลือก หากต้องการประสบความสำเร็จ ต้องเรียนรู้ที่จะปฏิเสธ ปฏิเสธความสบาย ปฏิเสธสิ่งรบกวนทั้งหลาย ปฏิเสธสิ่งที่ไม่ดี... และแน่นอนว่าต้องรู้จักปฏิเสธ "ความเกรงใจ" ให้เป็น
    คนที่ "ไม่เกรงใจจนเกินไป" นั้น จะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่ง และได้รับอะไรในชีวิตมากยิ่งกว่า
  • คนเราต้องเรียนรู้และกล้าที่จะปฏิเสธ จงอย่าอ่อนแอ และน้อยเนื้อต่ำใจ อยากเปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นคนใหม่ ต้องฝึกเป็นคนใจแข็งสักนิด ทำอะไรให้ว่องไวสักหน่อย เพื่อเปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นคน "เข้มแข็ง" เพื่อกำจัด "ความเกรงใจ" ที่ดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ แต่มันสามารถทำลายชีวิตของคุณได้ เพราะความวุ่นวายส่วนใหญ่ของชีวิตมาจากการที่คุณพูดว่า "YES" เร็วเกินไป และพูดว่า "NO" ช้าเกินไป ในแต่ละวันถูกคำว่า "เกรงใจ"ทำลายชีวิตทีละนิดละหน่อย เมื่อเวลาผ่านไป มันจะกลายเป็นภัยที่ยิ่งใหญ่ และหากปล่อยให้มันทำลายตลอดชีวิตของคุณ จะทำให้คุณประสบความล้มเหลว
  • คนเราให้การยกย่องคนที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ซื่อสัตย์และจริงใจมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตอนเป็นเด็ก พ่อแม่มักจะพูดกรอกหูเสมอว่าต้องเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ต้องยอมเสียเปรียบผู้อื่นบ้าง ทำให้คนส่วนใหญ่เกิดความรู้สึก "เกรงใจ" เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้อื่น ไม่กล้าโต้แย้ง ยอมเสียเปรียบเพื่อรักษาหน้าของตนเองและคนอื่น แต่จากสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ในปัจจุบันนี้นับวันยิ่งยึดถือในกฏที่ว่า คนที่อ่อนแอก็แพ้ไป ซึ่งความเกรงใจนั้นกลายเป็นตัวแทนของความอ่อนแอ ไร้ความสามารถและความน้อยเนื้อต่ำใจไปแล้ว
  • ตอนนี้เรากำลังถูกความเกรงใจทำลายชีวิตอยู่!
  • ไม่กล้าปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง ทำให้ได้รับความเดือดร้อน ไม่กล้าที่จะปฏิเสธข้อเรียกร้องที่ไม่สมเหตุสมผล ทำให้ชีวิตเกิดความยุ่งยาก ไม่กล้าที่จะพูดชื่นชมผู้อื่น ทำให้พลาดโอกาสดีๆ ในชีวิตไปมากมาย...
  • พฤติกรรม "ปากหวานก้นเปรี้ยว" มีสาเหตุมาจาก "ความเกรงใจ"
    มีคนเดินทางไปขอวิธีการให้หลุดพ้นความทุกข์จากพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งพระภิกษุรูปนี้แนะนำให้เขาลองคิดด้วยตัวของเขาเองก่อน วันแรกพระภิกษุถามเขาว่าเขาคิดอะไรได้บ้าง เขาตอบว่าไม่รู้ พระภิกษุจึงใช้ไม้บรรทัดตีเขาไปหนึ่งที วันที่สอง พระภิกษุถามอีก เขายังคงตอบว่าไม่รู้ พระภิกษุจึงใช้ไม้บรรทัดตีเขา วันที่สามเขาก็ยังคงคิดไม่ได้ และในขณะที่พระภิกษุกำลังใช้ไม้บรรทัดตี เขาก็ยกมือห้ามไว้ พระภิกษุยิ้มพร้อมกับพูดว่า "ในที่สุดเจ้าก็คิดออกแล้ว วิธีที่ทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ได้ นั่นก็คือ การปฏิเสธความทุกข์นั่นเอง"
  • เรียนรู้ที่จะปฏิเสธความตื้นเขิน เพื่อเปิดใจรับความลึกซึ้ง ปฏิเสธความชิงชัง เพื่อเปิดใจรับความโอบอ้อมอารี - เจี่ยผิงวา
  • การที่คนเรา "พูดไม่เก่ง" นั้น มีสาเหตุมาจาก "ความอาย"
    หลายคนมักจะอิจฉาคนที่สามารถพูดในที่สาธารณะที่มีผู้ฟังจำนวนมากได้อย่างลื่นไหล ฉะฉาน ไม่สะดุด และเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจที่ตนเองเป็นคนพูดไม่เก่ง ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องอิจฉาคนที่พูดเก่ง เพราะว่าคนเราทุกคนสามารถทำได้เหมือนกันหมด สาเหตุที่ทำให้คุณไม่สามารถทำได้เหมือนคนอื่นนั้นมาจากความอาย ขอเพียงคุณมีความมั่นใจในตนเอง ทำความเข้าใจกับเทคนิคพื้นฐานในการพูดเป็นประจำทุกวัน คุณก็จะกลายเป็นคนพูดเก่งได้
cool.gif
 

PlAwAnSaI

Administrator
Thinking - เมื่อฉันลืมตาแล้วโลกเปลี่ยนไป (อีกครั้ง)
  • 'ความคาดหวัง' เป็นของเราเอง จะแบกต่อก็ได้หรือจะวางลงบ้างก็เบาใจ 'ความคาดหวัง' คือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ แต่ไม่มีใครช่วยเราจัดการได้ เราทุกคนต้องรับผิดชอบ 'ความคาดหวัง' ของตัวเอง
  • ความล้มเหลว ความผิดพลาด ฯลฯ มีประโยชน์ตรงการเรียนรู้จากมัน แต่สำหรับคนที่จ้องมันซ้ำไปซ้ำมา ในสถานการณ์ที่ทำอะไรไม่ได้แล้ว รังแต่จะทำให้สมองจดจำ แต่ภาพไม่ดีของตัวเอง
  • ไม่ว่าสิ่งที่เจอมันโหดร้ายแค่ไหน เราจะผิดหวังมากแค่ไหน มันอาจจะทำให้แข้งขาชา อ่อนเปลี้ยจนแทบล้ม เราพักได้ แต่อย่าหยุดอยู่ตรงนั้นนานเกินไป ให้พยายาม 'ก้าวต่อไปให้ได้'
  • พระเจ้ามอบ ของขวัญ (Present) ที่ล้ำค่าที่สุดให้กับเรา คือ วันนี้ หรือ ปัจจุบัน (Present) ช่วงเวลาที่เราสามารถออกแบบอนาคตได้ ตามปรารถนา ช่วงเวลาที่เราไม่ต้องจมอยู่กับ อดีตที่เคยทุกข์ทรมานใจ ของขวัญชิ้นนี้อยู่ในมือเราตลอดมา
  • ในวันที่ประสบความสำเร็จ อย่าให้ Credit กับ ดวง เพียงอย่างเดียว เราประสบความสำเร็จ เพราะเราเองตัดสินใจทำ ในสิ่งที่ควรทำ
  • การไม่ถูกเลือก ไม่ได้แปลว่า เราไม่ดีเสมอไป การที่คนสำคัญของเราไปเห็นคนอื่นดีกว่า ไม่ได้แปลว่า เราไม่มีคุณค่า อย่าลงโทษตัวเองด้วยการตำหนิตัวเอง เพียงเพราะเขาเลือกคนอื่น
  • ใจดีกับตัวเองด้วย การรู้จักปฏิเสธคนอื่นบ้าง ไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกเอาเปรียบ และดูแลตัวเองให้ดีเหมือนดูแลคนอื่น
  • ถ้าเราฟังเสียงความต้องการของคนอื่นมากเกินไป จนหลงลืมฟังเสียงภายใน / ไม่ใส่ใจความต้องการของตัวเอง ถึงตอนนั้น เรากำลังทำร้ายตัวเองโดยไม่รู้ตัว
  • ในทุกความสัมพันธ์ เมื่อเกิด 'ความไม่เข้าใจ' ก็ใช่จะแปลว่า 'ไม่รัก ไม่ห่วง ไม่ผูกพัน'
  • ความคิดแบบนี้ แรงใจแบบนี้ Gene ไม่ได้กำหนดไว้ เรื่องของพลังใจ มีแต่ตัวเราต้องลิขิตเอง
  • ธรรมชาติของ 'ความรัก' อย่างหนึ่ง คือ เมื่อแวะมาทักเราได้ วันหนึ่งก็สามารถโบกมือลา เราได้เช่นกัน
  • 'ความรัก' ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อ ทำร้ายใคร และคุณสมบัติข้อหนึ่ง ของ 'ความรัก' คือทำให้คนที่อยู่ด้วย อยากจะเป็นคนที่ดีกว่าเดิม
Cr: Mthai
cool.gif
 

PlAwAnSaI

Administrator
Management - Start With Why
  • การตั้ง "คำถาม" ที่ถูกแม้เพียงหนึ่งข้อสามารถทำให้เป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จได้!

    แม้ว่าเราจะพยายามหาข้อมูลมากมายเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ แต่นั่นไม่ได้ช่วยให้ การตัดสินใจของเรานั้นถูกต้อง 100% ซึ่งอาจมีความผิดพลาดได้ในระดับเล็กน้อย จนถึงหายนะ ดังนั้นเราจึงควรระวังสิ่งที่เราคิดว่ารู้อยู่แล้ว เพราะบางครั้งข้อมูลที่เราศึกษามาอย่างดีก็อาจทำให้เราเข้าใจผิดพลาด หรือหลงทางได้เหมือนกัน

    ผู้บริหารบริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติ American ได้เดินทางไปดูงานที่ญี่ปุ่นเพื่อเยี่ยมชมสายการผลิต และกลับพบว่าในขั้นตอนของการทดสอบประตูในขั้นตอนสุดท้าย

    โรงงาน American จะมีการใช้ค้อนยางเพื่อทดสอบว่าประตูนั้นเข้าที่หรือไม่ด้วยการใช้ค้อนยางทุบประตู ซึ่งตรงกันข้ามกับโรงงานญี่ปุ่นที่ไม่มีขั้นตอนนี้ ทำให้ผู้บริหารชาว American งุนงงและเกิดคำถามขึ้น ทางโรงงานญี่ปุ่นจึงให้คำตอบว่า "เราดูให้แน่ใจตั้งแต่ตอนออกแบบแล้วครับ"

    สิ่งที่โรงงานญี่ปุ่นทำนั้นตรงกันข้ามกับโรงงาน American โดยสิ้นเชิง นั่นคือการที่พวกเขา ออกแบบผลลัพธ์ ที่ต้องการตั้งแต่แรกแทนการหาปัญหา รวบรวมข้อมูลแล้วจึงลงมือแก้ไข

    แม้ว่าผลลัพธ์ที่ได้ของทั้งสองบริษัทจะใกล้เหมือนกัน แต่วิธีการใช้ค้อนนั้นเปรียบเหมือนกับวิธีแก้ปัญหาเมื่อผลลัพธ์ไม่ออกมาเป็นไปตามที่ต้องการ ซึ่งเป็นวิธีการที่องค์กรส่วนใหญ่ใช้ แตกต่างกับองค์กรที่ประสบความสำเร็จ เพราะพวกเขาสร้างสินค้าที่มีวิธีการทำงานที่สอดคล้องกับความต้องการและเป้าหมายตั้งแต่แรก ซึ่งวิธีการนี้เป็นสิ่งที่ผู้นำส่วนใหญ่เข้าใจและเห็นคุณค่าของมัน
  • สิ่งล่อใจ
    วิธีการดึงดูดให้คนสนใจในสินค้าและผลิตภัณฑ์นั้นมีด้วยกันหลายวิธี ได้แก่ ราคา Promotion ความกลัว แรงกดดันจากคนรอบข้าง ข้อความปลุกเร้า และความแปลกใหม่ ถึงแม้วิธีการเหล่านี้จะใช้ได้ผล แต่ก็ใช่ว่าจะได้ในระยะยาว เพราะข้อเสียของมันคือการที่ ไม่สามารถสร้างความจงรักภักดีให้แก่กลุ่มเป้าหมายได้ (ยกเว้นแต่ว่าคุณต้องการความสำเร็จในชั่วระยะเวลาหนึ่ง กลยุทธ์สิ่งล่อใจอาจเป็นสิ่งที่เหมาะสม)
  • วงแหวนทองคำ
    อะไร - พนักงานรู้ว่าตัวเองทำอะไร
    อย่างไร - วิธีการที่ทำนั้นแตกต่าง มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีจุดขายอันเป็นเอกลักษณ์ และดีกว่าคนอื่นตรงไหน
    ทำไม - มีจุดมุ่งหมาย เจตนารมณ์ ความเชื่อ เข้าใจว่าทำไมคุณถึงทำในสิ่งที่คุณทำอยู่

    ผู้นำส่วนใหญ่ใช้วิธีการสื่อสารจากข้างนอกเข้าสู่ข้างใน แต่ทว่าผู้นำที่สร้างแรงบันดาลใจนั้น สื่อสารจากข้างในออกสู่ข้างนอก

    บริษัท Apple เป็นตัวอย่างของการใช้การสร้างแรงบันดาลใจ แทนการใช้สิ่งล่อใจ เพราะพวกเขาได้เลือกที่จะตอบคำถาม "ทำไม" ก่อน ด้วยการท้าทายสิ่งเดิมและคิดต่าง จากนั้นจึงสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีทั้งความสวยงาม ใช้งานได้ง่าย (อย่างไร) จึงได้กำเนิด Computer ที่ยอดเยี่ยมนั่นเอง (อะไร)

    ถึงแม้จะมีผู้ผลิตรายอื่นที่ผลิตเครื่อง Computer เหมือนกัน แต่สิ่งที่ทำให้ Apple แตกต่างนั่นคือ วิธีการนำเสนอที่ดึงดูดผู้คนด้วยเหตุผลของสิ่งที่พวกเขาทำและจุดมุ่งหมาย ไม่ใช่เริ่มต้นที่ ผลิตภัณฑ์ นั่นจึงดึงดูดผู้คนที่มีความเชื่อเช่นเดียวกัน ทำให้เกิดเป็นความภักดี
  • ทำไมเราถึงไม่ใช้เหตุผลในการตัดสินใจ
    วงแหวนทองคำนั้นมีความสัมพันธ์กับสมอง
    Neocortex - รับผิดชอบการใช้เหตุผลและการใช้ภาษา
    Limbic - รับผิดชอบความรู้สึกมนุษย์

    การสื่อสารด้วยคำว่า "อะไร" จึงทำให้ผู้คนสามารถเข้าใจได้โดยง่าย เพราะเกี่ยวข้องกับสมองส่วน Neocortex แต่ไม่สามารถทำให้เกิดพฤติกรรมได้ ในขณะที่ "ทำไม" เป็นการใช้สมองส่วนควบคุมการตัดสินใจที่ส่งผลให้เกิดการกระทำนั่นคือสมองส่วน Limbic

    การตัดสินใจโดยสมองส่วน Limbic นั้นทรงพลังมากกว่าเพราะการใช้สมองส่วน Neocortex มีแนวโน้มทำให้เรา "คิดมากไป" ทำให้ใช้เวลาในการตัดสินใจนาน และได้ประสิทธิภาพที่น้อยกว่าการใช้สัญชาตญาณ

    ข้อมูลที่จับต้องได้นั้นช่วยให้การตัดสินใจง่ายขึ้น แต่การตัดสินใจนั้นเกิดขึ้นมาจากคำถามว่า "ทำไม" โดยสมองส่วนความรู้สึก จากนั้นสมองส่วนภาษาจึงเข้ามาหาเหตุผล เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ

    ผู้คนไม่ได้ซื้อเพราะเหตุผลที่คุณทำ แต่ซื้อเพราะเหตุผลที่คุณทำมันต่างหาก
  • ทำธุรกิจก็เหมือนการออก Date
    หากในการออก Date ครั้งแรก เราเอาแต่บรรยายถึงสรรพคุณของตัวเรา ยกตัวอย่างเช่น ฐานะทางการเงิน, ความสำเร็จในหน้าที่การงาน หรือชีวิตหรูหราฟู่ฟ่า คงเป็นไปได้ยากที่การออก Date ครั้งต่อไปจะเกิดขึ้น แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นการค่อยๆ แสดงให้เห็นถึงแนวคิด จุดมุ่งหมายในการใช้ชีวิตก็เป็นไปได้ที่จะได้รับโอกาสที่จะได้ออก Date ครั้งที่สอง และสานต่อความสัมพันธ์

    การทำธุรกิจก็เฉกเช่นเดียวกัน หากเอาแต่สื่อสารด้วยการบอกคุณสมบัติและประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ การออก Date ครั้งที่สองอาจไม่มีทางมาถึง เพราะผู้คนได้แต่เพียงพิจารณาจากคุณสมบัติเท่านั้น
  • ความเชื่อใจเป็นสิ่งสำคัญ
    ความเชื่อใจเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กรที่มีความสำคัญ โดยความเชื่อใจเป็นเรื่องของความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อเรารู้สึกว่าคนคนนั้นหรือบริษัทนั้นมีแรงจูงใจอื่นในการกระทำ นอกจากผลประโยชน์ของตัวเอง
  • ผู้นำที่ดีจะมีผู้ตามที่เชื่อมั่นในตัวเขา
    คนเป็นผู้นำจะได้รับพลังจากผู้ตามที่เชื่อมั่นว่าผู้นำตัดสินใจโดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของกลุ่มเสมอ พวกเขาจึงทุ่มเทแบบถวายหัว เพราะรู้สึกว่ากำลังทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง
  • เชื่อในสิ่งๆ เดียวกัน
    "ผมมีความฝัน" เป็นสุนทรพจน์ที่ถูกกล่าวโดย Dr.Martin Luther King ในวันที่ 28 สิงหาคม 1963 ในวันนั้นมีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาฟังสุนทรพจน์โดยที่ไม่ได้มีการแจกบัตรเชิญหรือนัดหมายแต่อย่างใด

    โดยเนื้อหาของสุนทรพจน์นั้นเป็นการเรียกร้องความเท่าเทียมกัน ให้ America เป็นพื้นที่สำหรับทุกคนไม่ว่าจะมีผิวสีอะไร กลุ่มคนที่มีเจตนารมณ์เดียวกันได้เข้ามาร่วมฟังสุนทรพจน์ ที่ Dr.King ถ่ายทอดด้วยความเชื่ออันทรงพลังและชัดเจนด้วยคำพูด ผู้คนได้เลือกติดตาม Dr.King เพราะพวกเขามีวิสัยทัศน์แบบเดียวกันและเชื่อในสิ่งเดียวกัน
  • หาแนวร่วม
    ความเป็นจริงแล้ว Dr.King ไม่ใช่คนที่เปลี่ยนแปลง America เขาเป็นเพียงผู้นำที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนหลายล้าน จนก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวจนนำมาสู่การเปลี่ยนแปลง

    โดยปกติผู้นำที่ยิ่งใหญ่ประเภท "ทำไม" ล้วนมีกลุ่มคนประเภท "อย่างไร" คอยสนับสนุน คนเหล่านี้จะรับเอาวิสัยทัศน์และจุดมุ่งหมายไปทำให้มันเป็นความจริงขึ้นมา
  • ทุกอย่างเริ่มต้นจากคำถามว่า "ทำไม"
    หากผู้นำนั้นเริ่มต้นด้วยคำว่า "ทำไม" และเป็นผู้นำที่สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ตาม ไม่ว่าองค์กรนั้นจะมีขนาดใหญ่หรือเล็กก็สามารถทำให้องค์กรประสบความสำเร็จ อย่างยิ่งใหญ่และสามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้เช่นกัน
Cr: Nithisa.L
cool.gif
 

PlAwAnSaI

Administrator
Thinking - Future : ปัญญาอนาคต
  • การทำชีวิตของเราเองให้ดีขึ้นจากจุดเดิมได้นั้น ไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่าสูตรสำเร็จ ที่หลังจากเรียนรู้แล้วจะทำให้ชีวิตรวยขึ้นหรือมีความสุขได้โดยทันที แต่การนำพาชีวิตไปสู่อนาคตที่ดีสามารถกำหนดได้ด้วยการศึกษาจากประสบการณ์ของคนทั่วโลก เพื่อหลีกเลี่ยงวิธีการเก่าๆ หรือหวังพึ่งแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากเป็นการเรียนรู้ศาสตร์และศิลป์จากผู้ที่เคยเผชิญหน้ากับปัญหา ทบทวนหลักการ วางทัศนคติใหม่ สร้างวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน แล้วลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
  • แม้จะมีความรู้มากมายที่สอนเคล็ดลับของการใช้ชีวิตให้มีความสุขคือ การอยู่กับปัจจุบัน ไม่โหยหาถึงความสำเร็จในอดีต หรือยึดติดอยู่กับความทรงจำอันเลวร้าย และไม่คาดหวังถึงอนาคตที่ยังมองมาไม่ถึง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในความคิดของคนเรามักจะอยากรู้อยากเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าที่ยังมาไม่ถึงเสมอ
  • การตั้งคำถามถึงอนาคตของตัวเอง อนาคตของสังคม หรืออนาคตของประเทศ ที่ยังมาไม่ถึง มักเกิดขึ้นในเวลาที่คนเรากังวลต่อสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่นั้นว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ในวันที่งานคือสิ่งหายาก เศรษฐกิจของประเทศกำลังจะทะยานหรือดิ่งลงเหว จะได้เจอความรักหรือยังคงต้องผิดหวัง ควรจะเรียนอะไรต่อจากนี้ ทำธุรกิจอย่างไรถึงจะยั่งยืน ฯลฯ ทั้งหมดคือการแสวงหาทิศทางในการดำเนินชีวิตว่าควรจะมุ่งไปในทิศทางไหน
  • เราอาจจะไม่ต้องขวนขวายหาหมอดูคนไหนมาทำนาย ไม่ต้องวิ่งไปเปิดนิตยสารในหน้าท้ายๆ เพื่อทายอนาคตในรอบสัปดาห์ เพราะทุกคนสามารถกำหนดอนาคตของตัวเองได้ด้วยการหันกลับมาพิจารณาตนเอง เรียนรู้วิถีชีวิตของผู้อื่น แล้วนำมาสู่การพัฒนาตนเอง
  • คำว่า 'อนาคต' หมายถึง ปัญญาที่ได้จากการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ทั้งความล้มเหลวและความสำเร็จ ผ่านการทดลองและปรับใช้จนกลายเป็นสูตรในการสร้างตัวตนของเราให้พร้อมเข้าสู่ยุคใหม่
  • การทำความรู้จักตนเองคือการค้นหาจุดแข็งจุดอ่อนของตนเอง แล้วนำมาพัฒนาจุดแข็งกลบจุดอ่อนในการเอาชนะอุปสรรคไปทีละขั้นจนสามารถก้าวขึ้นสู่จุดสุดยอด ซึ่งเป็นกระบวนการคิดจาก คัมภีร์ห้าห่วง ของซามูไร มิยาโมโต้ มูซาชิ แม้จะฟังดูเป็นแนวคิดที่สุดโต่งและไกลตัวจากวิถีชีวิตในปัจจุบัน หากในยุคสมัยใหม่ที่เป็นดัง 'ยุคโกลาหล' ทุกคนล้วนมีโอกาสผิดพลาดล้มเหลวได้ตลอดเวลา การพัฒนาตัวเองจากความล้มเหลวแล้วลุกขึ้นมายืนใหม่ให้ได้ทุกครั้ง นับเป็นทักษะสำคัญที่จะใช้รับมือกับอนาคตที่ไม่แน่นอนต่อจากนี้ การสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่แม้จะแพ้เป็นพันครั้งจึงเป็นการบอกให้เลิกโหยหาอดีตที่เคยพบกับความสำเร็จ เป็นวิถีแห่งปราชญ์แต่ครั้งโบราณที่ไม่ต้องทำให้คนขึ้นมาทะเลาะรบราฆ่าฟัน แต่คือการหาหนทางอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
  • นี่คือการศึกษาของผู้ตื่นรู้ ของผู้มีกลยุทธ์ เป็นการศึกษาของปราชญ์ เป็นวิธีการที่ผู้มีปัญญาใช้ในการสร้างตนขึ้นมาตั้งแต่ครั้งอดีต และเป็นวิธีการที่คนรุ่นใหม่ควรศึกษา เพื่อใช้ในการสร้างอนาคต
  • เมือง Antwerp เคยเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าขายน้ำตาลในช่วงปี 1510 และตกต่ำลงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะกองทัพ Germany เข้ายึดครองในปี 1940 ทำให้ Antwerp จำเป็นต้องก่อร่างสร้างตนขึ้นมาใหม่ โดยรัฐได้ค่อยๆ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ สร้างสิ่งแวดล้อมใหม่ รวมถึงสร้างสถานศึกษาศิลปะและการออกแบบในทศวรรษ 1990 โดยประกาศว่าจะก้าวสู่การเป็นศูนย์กลาง Fashion โลก การออกแบบและพัฒนาหลักสูตรให้เข้ากับยุค ทำให้ Antwerp ผลิตนักออกแบบ Fashion Style Avant-garde ขึ้นมาได้ อย่าง Martin Margiela ผู้มีฝีมือทัดเทียมเช่นเดียวกับนักออกแบบ Fashion แห่ง Paris Milan London และ New York
  • การซื้อหนังสือดีไม่ว่าจะราคาแพงแค่ไหนก็ถือเป็นการลงทุนที่มีราคาถูกที่สุด และเป็นการใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่าที่สุด เพราะหนังสือคือความรู้ที่ผ่านการคิดอย่างเป็นระบบมาแล้ว และช่วยให้ออกแบบชีวิตอนาคตของตนเองได้ เราจึงควรเลือกหาหนังสือที่จะอ่านเป็นอย่างดี และเมื่อได้หนังสือดี ไม่ว่าสั้นหรือยาวเพียงใด เราควรอ่านทันที เพราะชะตากรรมของหนังสือดีหลายเล่มที่เราซื้อมา มักมีวาสนาเพียงแค่วางประดับชั้นหนังสือหรือกองอยู่ตามมุมห้อง เพราะส่วนใหญ่ล้วนไม่สามารถจัดสรรเวลาสำหรับการอ่านเนื้อหาของหนังสือที่ดีได้ แต่เรามีเวลาเถลไถลไปกับข่าวสารไร้สาระ ที่ถูกส่งขึ้นหน้าจอให้เราทุกวัน ถ้าเราได้คืนเวลาเหล่านั้น เราจะคืนความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับการอ่าน
  • ด้วยความรู้ที่มากมายนี้เอง การมองหรือตัดสินใจต่ออุปสรรคหรือเหตุการณ์ต่างๆ จะทำให้เรามีสายตาที่ใช้ในการตัดสินใจที่แม่นยำมากขึ้น
  • ระบบการศึกษาไทยที่บังคับให้ผู้เรียนต้องเรียนในสิ่งที่ไม่ได้รัก ปิดกั้นโอกาสที่เด็กจะได้เปล่งศักยภาพในด้านที่ตนถนัด จบมาทนทำงานที่ฝืนอุปนิสัย จนหมดไฟกับการทำงานไปก่อนเวลาอันควร
  • การมองอนาคตของคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่นั้นมีสายตาที่แตกต่างกัน คนรุ่นเก่าฝันสร้างธุรกิจขนาดใหญ่ ทำงานเก็บเงิน แล้วค่อยใช้ชีวิต แต่คนรุ่นใหม่ฝันสร้างธุรกิจเล็กๆ ที่ทำได้ด้วยตนเอง ทำงานใช้ชีวิตแล้วค่อยเก็บเงิน การให้คนรุ่นเก่ามาวางยุทธศาสตร์บ้านเมืองให้กับคนรุ่นใหม่จึงเป็นเรื่องที่สูญเปล่า
  • ความท้าทายของศตวรรษที่ 21 คือความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในระดับวินาที มนุษย์ในอนาคตจำเป็นต้องหาสมดุลในชีวิตของตัวเองให้เจอ
  • ประเทศที่ยังย่ำอยู่กับที่แล้วพาตัวเองย้อนหลังกลับสู่อดีต แสดงว่าประเทศนั้นมองไม่เห็นอนาคตว่าจะไปต่อยังไง
  • ในอนาคตธุรกิจจะมีขนาดเล็กลง ผู้คนจะมีอายุเฉลี่ย 100 ปี คุณพร้อมหรือยังที่จะรับมือกับวิถีชีวิตรูปแบบใหม่
  • ในโลกยุคใหม่ที่ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในระดับวินาที เรื่องร้อนบน News Feed วันนี้ อาจไม่มีใครจดจำได้ในวันรุ่งขึ้น
  • ทุกสิ่งในโลกสมัยใหม่ล้วนมีอายุสั้น เปราะบาง เหมือนคลื่นในทะเลที่พร้อมจะเลือนหายครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อคลื่นลูกใหม่ซัดเข้าหาฝั่ง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นโลกที่เปิดกว้างทางโอกาสให้กับผู้คนมากกว่าทุกยุคทุกสมัย
  • ปัจจุบันอันโกลาหลและอนาคตที่ยากจะคาดเดา คือความท้าทายแห่งยุคสมัยที่ผู้คนต้องพบเผชิญ
  • คุณจะสร้างอนาคตได้ก็ต่อเมื่อคุณรู้ว่าที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น แล้วจะเดินไปข้างหน้าได้อย่างไร ซึ่งคุณต้องเชื่อว่ามันมีอนาคตที่จะเดินไปข้างหน้า ถ้าไม่เชื่อคุณก็จะพาตัวเองย้อนกลับไปอดีตอยู่ร่ำไป
  • ในอดีตคนก็มีความกลัวอนาคต แล้วก็มีคนบางส่วนพยายามย้อนกลับไปหาความมั่นใจที่เคยมีมา ในขณะที่บางส่วน อย่างเช่น ลีกวนยู หรือเติ้งเสี่ยวผิง ก็ไม่ได้ย้อนกลับไปหาความมั่นใจในอดีต แทนที่จะวิ่งกลับไปหาอนุรักษ์นิยม กลับไปหาความรุนแรง กลับไปหาชาตินิยม ผู้นำแห่งศตวรรษที่ 20 กลับนำพาประเทศของตัวเองไปสู่อนาคตด้วยการสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมา นี่คือตัวอย่างของผู้นำที่มีวิสัยทัศน์
  • เราทุกคนอยู่ในเรือลำเดียวกันที่กำลังเผชิญคลื่นลมอย่างรุนแรงในแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน รุ่นก่อนทำอะไรสำเร็จก็อาจจะ Enjoy กับชีวิตไปได้สัก 10 ปี แต่คนรุ่นใหม่อาจจะ Enjoy ได้ 2 เดือน แล้วคุณก็ต้องกลับมาเผชิญความท้าทายใหม่ ฉะนั้นคุณต้อง Invent ตัวเองตลอดเวลา สร้างสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา ซึ่งจะเป็นความเหนื่อยยากมาก แล้วคุณก็จะประสบความล้มเหลวอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน เพราะจะมีคนที่ทำสำเร็จแล้วเดินผ่านคุณไป เราจะอยู่ในยุคที่วุ่นวายโกลาหลมาก ถ้าเราไม่สามารถวางตำแหน่งตัวเองได้อย่างถูกต้อง เราจะไม่สามารถชนะคลื่นที่พัดเข้ามาหาเรา ที่เลวร้ายกว่าคือเราจะไม่มีความสุข
  • เรากำลังเผชิญหน้าความท้าทายใหม่ของศตวรรษที่ 21 เรามีทางเลือก 2 ทางคือ หนึ่ง วิ่งกลับไปหาของเดิม กับ สอง คือต้องวางแผนว่าอนาคตที่จะเกิดขึ้นคืออะไร แล้วต้องเตรียมการรับมือเพื่อจะพาตัวเองไปสู่ศตวรรษที่ 21 ไปสู่ความเปลี่ยนแปลงเหมือนคนที่เป็นรัฐบุรุษเขาเคยทำไว้ในอดีต
  • ความหมายของศตวรรษที่ 21 และการมีชีวิตอยู่คือ คุณต้องหาสมดุลให้เจอ เพราะ Technology ที่เปลี่ยน มันไม่ได้ให้สมดุลกับชีวิตของคุณ ถ้าคุณจัดสมดุลไม่ได้ วิ่งตามอย่างเดียว ตามเท่าไรก็ตามไม่ทัน
Cr: The Momentum
cool.gif
 

PlAwAnSaI

Administrator
Thinking - Anontawong & Missiontothemoon & Salaryman New Gen

  1. งานแต่งงาน:
    anontawong.com/2015/02/23/my-wedding
  2. 12 เรื่องสุดเจ๋งที่คุณอาจไม่เคยรู้เกี่ยวกับ Thomson Reuters:
    anontawong.com/2015/03/03/12-cool-things-you-didnt-know-about-thomson-reuters

    150514 - ตามกระแส หรือ ทวนกระแส:
    www.facebook.com/Willskills.info/photos/a.676308329181078/676308309181080
  3. วิธีทำให้พนักงานคุยกันเป็นภาษาอังกฤษ:
    anontawong.com/2015/06/18/i-am-farang
  4. 10 สิ่งอำนวยความสะดวกของคนไทยที่ฝรั่งไม่มี:
    anontawong.com/2015/08/03/what-farangs-dont-have
  5. ความเคารพ:
    anontawong.com/2015/08/09/respect
  6. วิธีการจัดบ้านแบบ KonMari - The Life-Changing Magic of Tidying Up - ชีวิตดีขึ้นทุกๆ ด้าน ด้วยการจัดบ้านครั้งเดียว:
    anontawong.com/2015/08/10/konmari
  7. ทื่อๆ บ้างก็ได้:
    anontawong.com/2015/08/26/uninspired

    150902 - ทุกอาชีพ ล้วนประสบความสำเร็จ และ มีความสุขได้:
    www.facebook.com/Willskills.info/photos/a.676308329181078/735867193225191

    150904 - ก้าวขึ้นสู่ จุดสูงสุดในสายอาชีพ เพื่อเป็น Top of the field:
    www.facebook.com/Willskills.info/photos/a.676308329181078/736694856475758

    150905 - เส้นทางของความสำเร็จ มันอยู่ที่คุณ:
    www.facebook.com/Willskills.info/photos/a.676308329181078/737223656422878

    150923 - Passion:
    www.facebook.com/Willskills.info/photos/a.676308329181078/747376095407634

    150926 - ทำไมคนเหนื่อยคือลูกจ้าง แต่คนได้เงินคือนายจ้าง?:
    www.facebook.com/Willskills.info/photos/a.676308329181078/748480751963835
  8. เหตุผลที่ Amazon ไม่ใช้ Powerpoint ในการประชุม:
    anontawong.com/2015/09/29/amazon-no-powerpoint
  9. โรงงานฝึกทาส:
    anontawong.com/2015/12/02/slave-factory
  10. กฎ 10/20/30 ของการทำสไลด์:
    anontawong.com/2015/12/06/10-20-30-rule
  11. สองอย่าง:
    anontawong.com/2016/02/06/notime-cantdo
  12. เงินเดือน 2 หมื่นก็เก็บเงินถึง 10 ล้านได้ - การเงิน การลงทุน เล่มนี้ง่ายดี:
    anontawong.com/2016/03/07/10-million
  13. สรุปบทเรียน 13 ปีชีวิตมนุษย์เงินเดือน:
    anontawong.com/2016/03/15/13-years-salary-man
  14. ก่อนจะลาออกไป Follow Your Passion - So Good They Can't Ignore You: Why Skills Trump Passion in the Quest for Work You Love:
    anontawong.com/2016/05/22/passion-2
  15. วิธีระดมสมองของพนักงาน Google:
    anontawong.com/2016/06/23/brainstorm
  16. กฏ 40% ของหน่วย SEAL:
    anontawong.com/2016/07/03/40-percent-rule
  17. โรงเรียนที่กำลังมาแรงที่สุดในเยอรมันนี:
    anontawong.com/2016/07/10/hottest-school

    160715 - มีอะไรในถุงกระดาษของมหาเศรษฐี:
    www.missiontothemoon.co/blog/articles/16

    160728 - นำตัวเองให้ได้ก่อนจะนำคนอื่น:
    www.missiontothemoon.co/blog/articles/17
  18. กฎ 20 ไมล์:
    anontawong.com/2016/08/01/20-miles-march
  19. 9 บทเรียนจาก 3 วันที่ผ่านมา:
    anontawong.com/2016/10/15/9-lessons

    161125 - Fast forward your life:
    www.missiontothemoon.co/blog/articles/15
    www.facebook.com/marketingeverythingbook/photos/a.215431685328083.1073741829.215052905365961/499415680263014

    161213 - Margin of Errors:
    www.missiontothemoon.co/blog/articles/32

    170112 - เป็นเลิศแบบญี่ปุ่น ทำจากหัวใจ:
    www.missiontothemoon.co/blog/articles/33

    170202 - ลูกค้าจ้างคุณทำอะไรกันแน่?:
    www.missiontothemoon.co/blog/articles/35

    170209 - Sporty Trend:
    www.missiontothemoon.co/blog/articles/36

    170213 - การเห็น "ด้านที่สาม":
    www.missiontothemoon.co/blog/articles/41

    170214 - My Way:
    www.missiontothemoon.co/blog/articles/37

    170214 - Payoff by Dan Ariely:
    www.missiontothemoon.co/blog/articles/38

    170214 - ถ้าหาทางออกไม่เจอ ลองไปออกที่ทางเข้า:
    www.missiontothemoon.co/blog/articles/39

    170214 - "ทำดีได้ดี" ในโลกธุรกิจและการทำงาน:
    www.missiontothemoon.co/blog/articles/40

    170214 - เมื่อเรือของคุณกำลังจะจม:
    www.missiontothemoon.co/blog/articles/42
cool.gif
 
Top