จากที่ได้ไปสอบชิงทุนเรียนต่อต่างประเทศที่ ม.กรุงเทพ มา (จะได้รึปล่าวยังไม่รู้เลยเนี่ย แต่ก็คงยาก) ก็พอจะเอาประสบการณ์จากการสอบแนว TOEFL กับ GRE มาเล่าให้ฟังกันได้บ้างอ่านะ เผื่อใครคิดจะสอบนะ
โปรดอ่านก่อนเน้อ
ที่ผมไปสอบชิงทุนมานี่ี่ ยังไม่ใช่การสอบ TOEFL หรือ GRE ที่แท้จริงหรอกนะ แต่ข้อสอบที่เขาออกจะใช้แนวเดียวกับที่ใช้สอบ TOEFL และ GRE กันจริงๆ น่ะ (ยากเหมือนกันเลยด้วยมั้ง) เลยคิดว่าน่าจะพอเอามาเล่าเพื่อนเอาไปเตรียมตัวกันได้นะ แต่ก็จะอธิบายข้อมูลการสอบจริงแบบเต็มๆ ไปด้วยเลย (เท่าที่มันสมองหยักน้อยๆ ของผมจะนึกออกได้นะ)
พูดถึง TOEFL ก่อนละกัน
ปกติแล้ว การสอบ TOEFL จะมี 3 แบบ คือ
1. PBT (Paper Based Test)
2. CBT (Computer Based test)
3. IBT (Internet Based Test) *อันนี้ได้ชื่อว่ายากสุดแล้วล่ะ
การสอบหลักๆ จะแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
1. Listening จะเป็นข้อสอบที่ต้องตอบคำถามจากประโยคสนทนาที่เขาเปิดเทปให้ฟังนะ การสอบส่วนนี้ เราสามารถฟังได้แค่รอบเดียวเท่านั้น และรู้สึกว่าเขาจะไม่พิมพ์โจทย์มาให้ด้วย เพราะฉะนั้น พึ่งพาตัวเองกันเน้อ
2. Structure and written expression (ที่ผมไปสอบชิงทุนมาจะออกแนวนี้) ส่วนนี้จะเป็นเรื่องของ Grammar และ Reading ล้วนๆ เลย ลักษณะข้อสอบจะแบ่งย่ิอยได้ 3 แบบก็คือ
1) Cloze test (เขียนถูกป่าวหว่า) ลักษณะโจทย์ของข้อสอบแบบนี้ โจทย์จะให้ประโยคๆ หนึ่งมา แต่จะไม่สมบูรณ์แบบ โดยจะเว้นช่องว่างอยู่ส่วนหนึ่ง โดยให้เราเลือกตอบข้อที่ถูกต้องที่สุดเพื่อทำให้ประโยคมีความสมบูรณ์ อย่างเช่น
5. No one is completely sure _________ causes booms and depression in free economies
(A) how (
whom
(C) what (D) why
2) Reading ส่วนนี้น่าจะรู้กันดีอยู่นะ ก็เป็นการตอบคำถามจากบทความที่กำหนดให้ โจทย์จะถามอะไรก็แล้วแต่เขาจะจัดทำมา แต่จะมีโจทย์บางลักษณะที่จะถามบ่อยมากๆ แทบจะทุกบทความเลยก็ว่าได้ (มั้ง) เช่น ถามถึงหัวข้อที่เหมาะสมกับบทความ คำถามก็จะอยู่ประมาณ What is the main topic of this article. ประมาณนี้ หรืออาจจะมีการถามความหมายของคำบางคำในบทความ แล้วก็จะมีคำถามที่เราจะต้องอ่านเนื้อเรื่องจากบทความแล้ววิเคราะห์ออกมาด้วย แต่จะไม่มากเท่ากับการสอบ GRE ซึ่งจะกล่าวต่อไปนะ
3) Error Identification ข้อสอบลักษณะนี้ จะให้เราหาตำแหน่งที่ผิดพลาดภายในประโยคที่กำหนดให้ เช่น
An echo is a sound heard subsequent it is reflected from an object.
การสอบในส่วนนี้ แนะนำว่าควรจะทบทวนเรื่องการใช้ tense ในแบบต่างๆ โครงสร้างพื้นฐานของประโยค การใช้ส่วนขยาย (พูดง่ายๆ ก็คือ Grammar ที่เรียนมาทั้งหมดน่ะแหละ) เพราะจะช่วยได้มากในส่วนนี้ หรืออาจจะใช้วิธีเดาจากสามัญสำนึกก็ได้นะ (ผมใช้วิธีนี้บ่อย) แต่แนะนำว่าให้ทบทวน Grammar ด้วยจะดีกว่ามาก เพราะบางครั้งการสอบในส่วนนี้ เราอาจจะถูกโจทย์หลอกได้ โดยเฉพาะส่วน Error Identification เนี่ยแหละ หลอกเราได้ดีนักแล
3. Essay writing อันนี้จะเป็นส่วนของการเขียนเรียงความเป็นภาษาอังกฤษ ในการสอบจริงๆ นี่จะมีการจำกัดเวลาด้วย (กี่นาทีจำไม่ได้แฮะ ใครรู้บอกด้วยนะ)
และในการสอบ TOEFL แบบ IBT จะมีการสอบเพิ่มขึ้นมาอีก 1 แบบด้วย นั่นคือ การสอบ Speaking ซึ่งตรงนี้ผมยังไม่ทราบรายละเอียดมากนัก ไว้หาข้อมูลได้จะเอามาลงให้นะ
ทีนี้มาพูดถึง GRE กันบ้าง
GRE หรือ Graduate Record Examination จะเป็นการสอบวัดเชาวน์ของผู้ที่จะสอบเข้าหลักสูตรบัณฑิตศึกษา (ป.โท กะ ป.เอก น่ะแหละ) โดย GRE เป็นมาตรฐานการสอบวัดของสหรัฐอเมริกา ซึ่งการสมัครเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาในอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัย หรือสถาบันเทคโนโลยี จะต้องใช้คะแนนจากการสอบ GRE ในการสมัตรด้วย นอกจาก TOEFL และถ้าจำไม่ผิด ถ้าเป็นสายบริหารธุรกิจจะต้องใช้คะแนน GMAT มั้งนะ
การสอบ GRE จะแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
1. ส่วนภาษาอังกฤษ (Verbal Ability) ส่วนนี้จะเป็นการทดสอบในเรื่องการใช้คำศัพท์ที่ถูกต้อง การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างคำและกลุ่มคำต่างๆ แบ่งออกได้ 4 แบบย่อย คือ
1) Analogies จะเน้นในเรื่องของการรู้จักคำศัพท์ต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์กันในความหมายของคู่คำศัพท์
2) Antonyms จะเน้นความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ต่างๆ ที่มีความหมายตรงกันข้ามรวมทั้งรูปแบบของคำนั้นๆ ทางไวยากรณ์ด้วย โดยจะเป็นคำเดียวหรือกลุ่มคำก็ได้
3) Sentence completion เน้นความสามารถในการเข้าใจและการใช้คู่คำศัพท์ต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์กัน
4) Reading Comprehension อันนี้ก็ข้อสอบอ่านเลยล่ะ
2. ส่วนคณิตศาสตร์ (Quantitative Ability) ส่วนนีจะทดสอบความรู้ทางด้านคณิตศาสตร์เบื้องต้น โดยจะใช้ความรู้จากคณิตศาสตร์ที่เราเรียนตอน ม.ต้น, ม.ปลาย และอาจจะมีจากมหาลัย 2 ปีแรกมาด้วย แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคณิตศาสตร์ตอนมัธยมซะเยอะ ใครเทพคณิตศาสตร์นี่น่าจะทำได้สบายๆ
3. ความสามารถในการวิเคราะห์เชิงเหตุผล (Analytical Ability) ส่วนนี้จะวัดในเรื่องของการใช้ความคิดเชิงเหตุผลหรือตรรก อย่างเช่น มีเมล็ดพันธุ์ A,B,C,D,E ปลูกในแปลงหนึ่ง แล้วก็จะมีการกำหนดเงื่อนไขต่างๆ มา หรือไม่ก็ให้บทความมาบทความหนึ่ง (ซึ่งบางบทความก็ยาวได้ใจจริงๆ) แล้วให้เราเลือกตอบว่าข้อไหนสัมพันธ์กับบทความมากที่สุด เป็นต้น
ในการสอบ GRE นี้ จะเน้นในเรื่องของคำศัพท์เป็นอย่างมาก หลายข้อที่ออกจะเป็นคำศัพท์ใหม่ๆ ที่เราไม่คุ้นเคยเยอะมาก (ยอมรับว่าผมเห็นแล้วถึงกับอึ้งค้างไปหลายวิเหมือนกัน) ถ้าใครจะสอบก็แนะนำว่าไปท่องศัพท์มาให้เยอะมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อ้อ! และต้องไม่ลืมว่า โจทย์เป็นภาษาอังกฤษหมดทุกข้อเหมือน TOEFL นะคร้าบ อย่านิ่งนอนใจเชียว
แถมอีกนิดก่อนจากกัน การสอบในส่วนของ Reading ไม่ว่าจะเป็น TOEFL หรือ GRE มีข้อแนะนำว่า ต้องพยายามอ่านจับใจความให้เร็วที่สุด ไม่ว่าประโยคจะยาวแค่ไหน เพราะถ้าไม่งั้นแล้ว เราจะเสียเวลาในส่วนนี้ไปเยอะมาก โดยเฉพาะการสอบ GRE จะเห็นได้ชัดที่สุด เพราะคำถามจะเน้นมากในเรื่องของการวิเคราะห์เหตุผลจากบทความ (ตอนสอบผมไปเสียเวลาตรงนี้เยอะมาก เพราะบางข้อบทความก็ยาวประมาณค่อนหน้าเกือบ 1 หน้าได้ เลยทำข้ออื่นไม่ทันไปเยอะพอควรเหมือนกัน)
ปล 1. ผมมีแผ่นแนวการเตรียมตัวสอบ GRE อยู่นะ อยากได้ก็ขอหลังไมค์เน้อ ไม่กล้าอัพ (ส่วน TOEFL ตอนนี้ยังไม่มี แต่อาจจะตามมาทีหลัง)
ปล 2. เนื้อหาบางส่วนผมเอามาจากหนังสือ เตรียมสอบ GRE CAT General Test และ รวมหลักไวยากรณ์โทเฟิล TOEFL Grammar ของ TGRE ครับ
ปล 3. ถ้าบทความตรงไหนผิดก็บอกผมด้วยนะครับ จะได้แก้ไขให้
ก็หวังว่าคำแนะนำนี้คงจะมีประโยชน์แก่ผู้ที่จะเตรียมตัวสอบไม่มากก็น้อยนะครับ
หมายเหตุ ขอเอาหมุดออกเนื่องจากเตรียมปฏิบัติการแฉการสอบ TOEFL iBT จากสนามสอบจริงครับ
โปรดอ่านก่อนเน้อ
ที่ผมไปสอบชิงทุนมานี่ี่ ยังไม่ใช่การสอบ TOEFL หรือ GRE ที่แท้จริงหรอกนะ แต่ข้อสอบที่เขาออกจะใช้แนวเดียวกับที่ใช้สอบ TOEFL และ GRE กันจริงๆ น่ะ (ยากเหมือนกันเลยด้วยมั้ง) เลยคิดว่าน่าจะพอเอามาเล่าเพื่อนเอาไปเตรียมตัวกันได้นะ แต่ก็จะอธิบายข้อมูลการสอบจริงแบบเต็มๆ ไปด้วยเลย (เท่าที่มันสมองหยักน้อยๆ ของผมจะนึกออกได้นะ)
พูดถึง TOEFL ก่อนละกัน
ปกติแล้ว การสอบ TOEFL จะมี 3 แบบ คือ
1. PBT (Paper Based Test)
2. CBT (Computer Based test)
3. IBT (Internet Based Test) *อันนี้ได้ชื่อว่ายากสุดแล้วล่ะ
การสอบหลักๆ จะแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
1. Listening จะเป็นข้อสอบที่ต้องตอบคำถามจากประโยคสนทนาที่เขาเปิดเทปให้ฟังนะ การสอบส่วนนี้ เราสามารถฟังได้แค่รอบเดียวเท่านั้น และรู้สึกว่าเขาจะไม่พิมพ์โจทย์มาให้ด้วย เพราะฉะนั้น พึ่งพาตัวเองกันเน้อ
2. Structure and written expression (ที่ผมไปสอบชิงทุนมาจะออกแนวนี้) ส่วนนี้จะเป็นเรื่องของ Grammar และ Reading ล้วนๆ เลย ลักษณะข้อสอบจะแบ่งย่ิอยได้ 3 แบบก็คือ
1) Cloze test (เขียนถูกป่าวหว่า) ลักษณะโจทย์ของข้อสอบแบบนี้ โจทย์จะให้ประโยคๆ หนึ่งมา แต่จะไม่สมบูรณ์แบบ โดยจะเว้นช่องว่างอยู่ส่วนหนึ่ง โดยให้เราเลือกตอบข้อที่ถูกต้องที่สุดเพื่อทำให้ประโยคมีความสมบูรณ์ อย่างเช่น
5. No one is completely sure _________ causes booms and depression in free economies
(A) how (
(C) what (D) why
2) Reading ส่วนนี้น่าจะรู้กันดีอยู่นะ ก็เป็นการตอบคำถามจากบทความที่กำหนดให้ โจทย์จะถามอะไรก็แล้วแต่เขาจะจัดทำมา แต่จะมีโจทย์บางลักษณะที่จะถามบ่อยมากๆ แทบจะทุกบทความเลยก็ว่าได้ (มั้ง) เช่น ถามถึงหัวข้อที่เหมาะสมกับบทความ คำถามก็จะอยู่ประมาณ What is the main topic of this article. ประมาณนี้ หรืออาจจะมีการถามความหมายของคำบางคำในบทความ แล้วก็จะมีคำถามที่เราจะต้องอ่านเนื้อเรื่องจากบทความแล้ววิเคราะห์ออกมาด้วย แต่จะไม่มากเท่ากับการสอบ GRE ซึ่งจะกล่าวต่อไปนะ
3) Error Identification ข้อสอบลักษณะนี้ จะให้เราหาตำแหน่งที่ผิดพลาดภายในประโยคที่กำหนดให้ เช่น
An echo is a sound heard subsequent it is reflected from an object.
การสอบในส่วนนี้ แนะนำว่าควรจะทบทวนเรื่องการใช้ tense ในแบบต่างๆ โครงสร้างพื้นฐานของประโยค การใช้ส่วนขยาย (พูดง่ายๆ ก็คือ Grammar ที่เรียนมาทั้งหมดน่ะแหละ) เพราะจะช่วยได้มากในส่วนนี้ หรืออาจจะใช้วิธีเดาจากสามัญสำนึกก็ได้นะ (ผมใช้วิธีนี้บ่อย) แต่แนะนำว่าให้ทบทวน Grammar ด้วยจะดีกว่ามาก เพราะบางครั้งการสอบในส่วนนี้ เราอาจจะถูกโจทย์หลอกได้ โดยเฉพาะส่วน Error Identification เนี่ยแหละ หลอกเราได้ดีนักแล
3. Essay writing อันนี้จะเป็นส่วนของการเขียนเรียงความเป็นภาษาอังกฤษ ในการสอบจริงๆ นี่จะมีการจำกัดเวลาด้วย (กี่นาทีจำไม่ได้แฮะ ใครรู้บอกด้วยนะ)
และในการสอบ TOEFL แบบ IBT จะมีการสอบเพิ่มขึ้นมาอีก 1 แบบด้วย นั่นคือ การสอบ Speaking ซึ่งตรงนี้ผมยังไม่ทราบรายละเอียดมากนัก ไว้หาข้อมูลได้จะเอามาลงให้นะ
ทีนี้มาพูดถึง GRE กันบ้าง
GRE หรือ Graduate Record Examination จะเป็นการสอบวัดเชาวน์ของผู้ที่จะสอบเข้าหลักสูตรบัณฑิตศึกษา (ป.โท กะ ป.เอก น่ะแหละ) โดย GRE เป็นมาตรฐานการสอบวัดของสหรัฐอเมริกา ซึ่งการสมัครเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาในอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัย หรือสถาบันเทคโนโลยี จะต้องใช้คะแนนจากการสอบ GRE ในการสมัตรด้วย นอกจาก TOEFL และถ้าจำไม่ผิด ถ้าเป็นสายบริหารธุรกิจจะต้องใช้คะแนน GMAT มั้งนะ
การสอบ GRE จะแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
1. ส่วนภาษาอังกฤษ (Verbal Ability) ส่วนนี้จะเป็นการทดสอบในเรื่องการใช้คำศัพท์ที่ถูกต้อง การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างคำและกลุ่มคำต่างๆ แบ่งออกได้ 4 แบบย่อย คือ
1) Analogies จะเน้นในเรื่องของการรู้จักคำศัพท์ต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์กันในความหมายของคู่คำศัพท์
2) Antonyms จะเน้นความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ต่างๆ ที่มีความหมายตรงกันข้ามรวมทั้งรูปแบบของคำนั้นๆ ทางไวยากรณ์ด้วย โดยจะเป็นคำเดียวหรือกลุ่มคำก็ได้
3) Sentence completion เน้นความสามารถในการเข้าใจและการใช้คู่คำศัพท์ต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์กัน
4) Reading Comprehension อันนี้ก็ข้อสอบอ่านเลยล่ะ
2. ส่วนคณิตศาสตร์ (Quantitative Ability) ส่วนนีจะทดสอบความรู้ทางด้านคณิตศาสตร์เบื้องต้น โดยจะใช้ความรู้จากคณิตศาสตร์ที่เราเรียนตอน ม.ต้น, ม.ปลาย และอาจจะมีจากมหาลัย 2 ปีแรกมาด้วย แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคณิตศาสตร์ตอนมัธยมซะเยอะ ใครเทพคณิตศาสตร์นี่น่าจะทำได้สบายๆ
3. ความสามารถในการวิเคราะห์เชิงเหตุผล (Analytical Ability) ส่วนนี้จะวัดในเรื่องของการใช้ความคิดเชิงเหตุผลหรือตรรก อย่างเช่น มีเมล็ดพันธุ์ A,B,C,D,E ปลูกในแปลงหนึ่ง แล้วก็จะมีการกำหนดเงื่อนไขต่างๆ มา หรือไม่ก็ให้บทความมาบทความหนึ่ง (ซึ่งบางบทความก็ยาวได้ใจจริงๆ) แล้วให้เราเลือกตอบว่าข้อไหนสัมพันธ์กับบทความมากที่สุด เป็นต้น
ในการสอบ GRE นี้ จะเน้นในเรื่องของคำศัพท์เป็นอย่างมาก หลายข้อที่ออกจะเป็นคำศัพท์ใหม่ๆ ที่เราไม่คุ้นเคยเยอะมาก (ยอมรับว่าผมเห็นแล้วถึงกับอึ้งค้างไปหลายวิเหมือนกัน) ถ้าใครจะสอบก็แนะนำว่าไปท่องศัพท์มาให้เยอะมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อ้อ! และต้องไม่ลืมว่า โจทย์เป็นภาษาอังกฤษหมดทุกข้อเหมือน TOEFL นะคร้าบ อย่านิ่งนอนใจเชียว
แถมอีกนิดก่อนจากกัน การสอบในส่วนของ Reading ไม่ว่าจะเป็น TOEFL หรือ GRE มีข้อแนะนำว่า ต้องพยายามอ่านจับใจความให้เร็วที่สุด ไม่ว่าประโยคจะยาวแค่ไหน เพราะถ้าไม่งั้นแล้ว เราจะเสียเวลาในส่วนนี้ไปเยอะมาก โดยเฉพาะการสอบ GRE จะเห็นได้ชัดที่สุด เพราะคำถามจะเน้นมากในเรื่องของการวิเคราะห์เหตุผลจากบทความ (ตอนสอบผมไปเสียเวลาตรงนี้เยอะมาก เพราะบางข้อบทความก็ยาวประมาณค่อนหน้าเกือบ 1 หน้าได้ เลยทำข้ออื่นไม่ทันไปเยอะพอควรเหมือนกัน)
ปล 1. ผมมีแผ่นแนวการเตรียมตัวสอบ GRE อยู่นะ อยากได้ก็ขอหลังไมค์เน้อ ไม่กล้าอัพ (ส่วน TOEFL ตอนนี้ยังไม่มี แต่อาจจะตามมาทีหลัง)
ปล 2. เนื้อหาบางส่วนผมเอามาจากหนังสือ เตรียมสอบ GRE CAT General Test และ รวมหลักไวยากรณ์โทเฟิล TOEFL Grammar ของ TGRE ครับ
ปล 3. ถ้าบทความตรงไหนผิดก็บอกผมด้วยนะครับ จะได้แก้ไขให้
ก็หวังว่าคำแนะนำนี้คงจะมีประโยชน์แก่ผู้ที่จะเตรียมตัวสอบไม่มากก็น้อยนะครับ
หมายเหตุ ขอเอาหมุดออกเนื่องจากเตรียมปฏิบัติการแฉการสอบ TOEFL iBT จากสนามสอบจริงครับ