PlAwAnSaI
Administrator
[li]RIP ต้องกำหนด version ที่ต้องการใช้งาน ใช้ distance vector ในการหาเส้นทาง โดยพิจารณาที่จำนวน hop และแลกเปลี่ยนเราติ้งเทเบิลกับเราเตอร์เพื่อนบ้าน การส่งข้อมูลเป็นแบบ broadcast ทำให้เปลือง traffic ข้อเสียคือเรื่อง convergence time และมีจำนวน next hop สูงสุดแค่ 15 ข้อดีคือ ง่ายแก่การคอนฟิก[/li]
[li]OSPF ต้องกำหนด process id, wildcard และ area ใช้อัลกอริทึม shortest path fisrt ในการค้นหาเส้นทาง พิจารณาจาก bandwidth ทำความรู้จักเพื่อนบ้านด้วย hello ส่งการอัปเดตสถานะของลิงค์ไปให้เพื่อนบ้านและให้เพื่อนบ้านสร้างภาพรวมและค้นหาเส้นทางเอง โดยจะไม่ส่งเราติ้งเทเบิลไปให้เพื่อนบ้าน[/li]
[li]EIGRP ต้องกำหนด Autonumous number และ wildcard ทำความรู้จักกับเพื่อนบ้านด้วย hello และทำอัปเดตเฉพาะส่วนที่เปลี่ยนแปลง ไปให้เพื่อนบ้าน เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจะเปลี่ยนเฉพาะในส่วน Topology table ซึ่งจะมีรายละเอียดของเส้นทางนั้นๆ เช่น ซับเน็ตปลายทาง ค่า cost ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นเส้นทางสำรองเมื่อเส้นทางหลักใช้การไม่ได้ จะสามารถนำข้อมูลใน topology table มาใช้งานได้แทบจะทันที ทำให้ convergence time น้อยมาก[/li][/list]
convergence time จากมากไปน้อย: RIP > OSPF > EIGRP
การเลือกใช้งาน: ต้องพิจารณาหลายอย่างเช่น ขนาดของเน็ตเวิร์ก ถ้าเล็กๆ ใช้เพียง RIP ก็เพียงพอ เพราะสะดวกแก่การคอนฟิกและพิจารณาอุปกรณ์ (EIGRP ใช้ได้กับอุปกรณ์ของ cisco เท่านั้น)
* หากเราเตอร์รันหลาย routing protocol พร้อมกัน จะเลือกพิจารณาจากค่า AD ซึ่ง protocol ที่มีค่า AD น้อย จะถือว่ามีความน่าเชื่อถือมากกว่า
"แหล่ง" ที่ให้ข้อมูล (Routing Protocol) | ค่า AD โดย Default |
Directly connected interface | 0 |
Static route ที่ชี้ออกไปทาง interface ของมันโดยตรง | 0 |
Static route ที่ชี้ออกไปทาง router ตัวถัดไป | 1 |
Internal EIGRP | 90 |
IGRP | 100 |
OSPF | 110 |
RIP (V1 and V2) | 120 |
Credit [aza]*~Newz
Can you help me interpret RIP V1 routing table?
Code:
https://learningnetwork.cisco.com/thread/7195
